ไม่พบผลการค้นหา
'ชยิกา' ห่วงฉีก MOU43 จะเปิดช่องกัมพูชาดึงพื้นที่พิพาทขึ้นศาลโลก-ฉวยโอกาสใช้แผนที่ 1:200,000 ทำไทยเสียเปรียบ - ชี้เหตุ บ.หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว เป็นการละเมิดอธิปไตย ไม่ใช่ปัญหา MOU - วอนทิ้งอคติคำนึงประโยชน์ประเทศ

นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุในแถลงนโยบายของรัฐบาลล่าสุดถึงเรื่องการทําประชามติเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจจะยกเลิก MOU ระหว่างไทยกัมพูชาหรือไม่ว่า ในฐานะอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้มีโอกาสติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิดมาตลอด และยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดถึงทุกวันนี้ ซึ่ง MOU 43 มีข้อดี และที่ผ่านมาฝ่ายราชการ ตั้งแต่กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ และกองทัพ ได้นำไปใช้กับสถานการณ์ไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นจริง จึงขอวิงวอนให้ทุกคนวางอคติ และรับฟังข้อเท็จจริงด้วยใจเป็นกลาง เพื่อจะได้หารือร่วมกันอย่างมียุทธศาสตร์ ทันเกมส์การเมืองระหว่างประเทศ และตั้งอยู่บนผลประโยชน์ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

นางสาวชยิกา ยังกังวลว่า การยกเลิก MOU43 ยิ่งจะทำให้โอกาสที่ฝ่ายกัมพูชา จะนำเรื่องนี้ไปศาลโลกมีมากขึ้น เพราะไม่ได้มีกรอบเจรจากำหนดไว้อีกต่อไป และแม้ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิด MOU43 นับร้อยครั้ง แต่กัมพูชาก็ไม่เคยเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อน เพราะรู้ดีว่าในแง่กฎหมายระหว่างประเทศ ที่ใครบอกเลิกก่อน ย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเสียหายในแง่ความน่าเชื่อถือต่อสังคมโลก ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้จะยังมีความยากลำบากในการเจรจา สิ่งที่ทำได้ และจะเป็นประโยชน์กว่า คือการชะลอการเจรจาออกไปเรื่อย ๆ ก่อน เพื่อรักษาสถานะที่ได้เปรียบของไทยไว้ อันเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติแท้จริง 

นางสาวชยิกา ยังยืนยันว่า สถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนที่บ้านหนองจาน และหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ไม่ใช่การรุกล้ำพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนตาม MOU43 แต่เป็นการรุกล้ำอธิปไตย เข้ามาในเขตแดนของไทย เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ MOU43

นางสาวชยิกา ย้ำว่า MOU43 เป็นเครื่องมือเดียว ที่เป็นข้อผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ ที่บังคับให้กัมพูชาต้องมาคุยกับไทย 2 ฝ่าย (ทวิภาคี) ด้วยสันติวิธี ผ่านกลไกคณะกรรมาธิการ JBC ไทย-กัมพูชา ซึ่งหากยกเลิก MOU กลไก JBC จะสิ้นสุดไปด้วย และ MOU43 เป็นเครื่องมือเดียว ที่กำหนดให้กัมพูชาห้ามรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ยังไม่มีข้อตกลง และห้ามไม่ให้ขุดคูเลต หรือสร้างสิ่งปลูกสร้างใด ๆ รวมถึงการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารจนทำให้ทหารไทยเสียชีวิต   

นางสาวชยิกา ยังย้ำอีกว่า MOU43 เป็นเครื่องมือเดียว ที่ทำให้กัมพูชา ต้องมาร่วมปักปันเขตแดนกับไทยผ่านกลไกคณะกรรมาธิการ JBC เป็นข้อตกลง เพื่อการทำแผนที่ใหม่ ให้เป็นที่ยอมรับของทั้ง 2 ฝ่าย และเพื่อใช้แทนแผนที่ 1:200,000 ที่กัมพูชายึดถือ โดยล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ JBC ได้มีมติใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม LIDAR ในการหาสันปันน้ำ เพื่อหาข้อสรุปถึงเส้นเขตแดนที่เป็นข้อตกลงร่วม และเส้นเขตแดนใหม่นี้ จะทำให้เส้นเขตแดนตามแผนที่ 1:200,000 ที่หลายฝ่ายกังวลหมดไป

นางสาวชยิกา ยังขอให้พิจารณาว่า หากมีการยกเลิก MOU43 แล้ว หลักเขตแดน 45 หลัก จากทั้งหมด 74 หลัก ที่ตกลงกันไว้ได้ จะหายไปทั้งหมด ซึ่งก็จะเป็นที่น่าเสียดายว่า งานของเจ้ากรมแผนที่ทหารที่ทำมาตลอดกว่า 20 ปี ซึ่งเกือบทั้งชีวิตข้าราชการ อาจทำให้หายไปกับการยกเลิก MOU นี้ด้วย ซึ่งเส้นเขตแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย ที่ในปัจจุบันแล้วเสร็จไปกว่า 90% นั้น ใช้เวลากว่า 50 ปี กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ และการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา เพิ่งทำมาได้ 20 ปี ปักปันไปได้ 60% จึงไม่ถือว่าช้า หรือไม่มีผระสิทธิภาพตามที่หลายคนเข้าใจ

นางสาวชยิกา ยังกังวลว่า การยกเลิก MOU43 เพื่อทำ MOU ใหม่ จึงเป็นการทำให้ประเทศ ต้องเริ่มต้นเรื่องข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาจากศูนย์ หรือจะเรียกติดลบก็ว่าได้ จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาว่า หากกัมพูชาได้เปรียบไทยจาก MOU 43 จริง เหตุใดกัมพูชาจึงบอกว่า MOU นี้ไม่เวิร์ก ต้องยกเลิก และหากระหว่างที่รัฐบาลเจรจาเพื่อร่างกรอบ MOU ในการเจรจาใหม่ เกิดความขัดแย้งตามแนวชายแดน เกิดการเดินหน้ายกระดับข้อพิพาทเขตแดนไปในเวทีโลก รัฐบาลจะรับผิดชอบต่อความเสียหายครั้งนี้ไหวหรือไม่? 

นางสาวชยิกา ยังระบุว่า เป็นที่น่าเศร้าใจ หากใครถือธงยกเลิก MOU43 เพียงเพราะอคติ ความเกลียดชัง ความเข้าใจผิดต่อตระกูลชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทย เล่นการเมือง จนไม่ดูข้อเท็จจริง ลืมนึกผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งผู้นั้นต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นด้วย พร้อมย้ำว่า ในฐานะอดีตที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้มีโอกาสติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิดมาตลอด และยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดถึงทุกวันนี้ ได้มีโอกาสสัมผัสกับความสูญเสียและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน รวมถึงได้รับทราบข้อเท็จจริงทั้งเรื่องที่พูดกันในทางสาธารณะ และการพูดคุยกันบนโต๊ะประชุมหลายครั้งโดยมิอาจนำเรื่องออกมาสื่อสารได้ อีกทั้งยังมีข้อมูลที่ปรากฎในหน้าสื่อหลายที่ ที่เป็นเพียงความเชื่อ-ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะการใช้ข้อมูลที่ถูกบิดเบือนไปตัดสินใจแก้ปัญหาประเทศ จะส่งผลเสียต่อประเทศในระยะสั้นและยาวแน่นอน