พลโทภราดร พัฒนถาบุตร กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษ (กพศ.) พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านและรัฐบาลบางกลุ่มรุมถล่มงบประมาณของกระทรวงกลาโหมในการพิจารณางบประมาณปี63 วาระ2-3 ของสภาผู้แทนราษฏรนั้น เป็นประเด็นที่มีข้อเท็จจริงสอดรับกับวิกฤตการณ์อิหร่าน-สหรัฐอเมริกา ที่ใช้อาวุธในการต่อสู้เป็นโดรนและขีปนาวุธ แต่ผ่อนคลายลงโดยประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวยึดหลักว่าไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์และทั้งสองประเทศควรมาจับมือกันต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงไอซิสซึ่งเป็นศัตรูกับทั้งสองประเทศและจะขยายอิทธิพลไปยังภูมิภาคอื่นๆอีก ประเมินได้ว่าภัยคุกคามที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นต่อทุกภูมิภาคยังคงเป็นในรูปของการก่อการร้าย
ดังนั้นการจัดเตรียมกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายความมั่นคงควรจะอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมต่อการรับมือกับภัยคุกคามของการก่อการร้ายนั่นคือจะต้องมีงานข่าวกรองที่แม่นตรงและมียุทโธปกรณ์อุปกรณ์เทคโนโลยีสูงในการตรวจจับเฝ้าฟัง และมีอาวุธประจำกายที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ด้วยการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยไม่ตอบโจทย์กับภัยดังกล่าว เลยถูกโจมตีถึงความไม่เหมาะสมในการจัดซื้อ แต่การที่เป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการจึงเป็นความยากยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เว้นเสียว่าต้องเปลี่ยนรัฐบาลมาเป็นรัฐบาลที่มาจากปีกประชาธิปไตยแทน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ย่ำแย่แถมตัวผู้นำสืบทอดอำนาจมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยตนเองก็ไม่มีฝีมือแก้ไขปัญหาขยันทำแต่สิ่งที่ไม่ควรทำเข้าไปอีก จึงเป็นเหตุให้พี่น้องประชาชนนอกสภาหันมาจับมือกันส่งสัญญาณให้รัฐบาลสืบทอดอำนาจถอยออกไปได้แล้ว โดยร่วมกันจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงขึ้น
ทำให้ถือเป็นภารกิจใหญ่ของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่จะต้องมาเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลสานต่อความประสงค์ของพี่น้องประชาชนให้จงได้ แม้จะมีเสียงดูแคลนจากคนบางคนในซีกรัฐบาลสืบทอดอำนาจออกมาบ้าง แต่เชื่อว่าเมื่อการอภิปรายเกิดขึ้นและทุกฝ่ายได้ฟังพยานหลักฐานข้อเท็จจริงจากพรรคร่วมฝ่ายค้านแล้ว จะรู้แจ้งเห็นจริงว่าผู้นำสืบทอดอำนาจและคณะเป็นทุจริตชนจริงๆ เมื่อนั้นคนที่ดูแคลนพรรคร่วมฝ่ายค้านก็จะละอายและปลีกตัวออกจากรัฐบาลจนรัฐบาลจะเป็นรัฐบาลเป็ดง่อยและล้มลงในที่สุด