จาตุรนต์ ฉายแสง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วันนี้ (10 ก.ค.2567) หลังสภาผู้แทนราษฎรมีมติในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2559 เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2559 พ.ศ. .... ซึ่งจัดทำโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ในวาระ 2 และวาระ 3
มีผลการลงมติทั้งฉบับเป็นเอกฉันท์ คือมีจำนวนผู้ลงมติ 407 เสียง, เห็นด้วย 406 เสียง, ไม่เห็นด้วย 0 เสียง, งดออกเสียง 0 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง โดยในร่าง พ.ร.บ.นี้จะมีผลให้สภาที่ปรึกษาฯ ที่มาจากการแต่งตั้งตามคำสั่ง คสช.ฉบับนี้สิ้นสุดลง และทำให้กฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาที่ปรึกษาฯ ซึ่งถูกงดบังคับใช้โดยคำสั่งดังกล่าวกลับมามีผลใช้บังคับเช่นเดิม
ผมในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ ได้ชี้ให้สภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าคณะกรรมาธิการได้ศึกษาทั้งความเป็นมาและผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมากมาให้ข้อมูล พบว่า คำสั่ง คสช.14/2559 มีสาระสำคัญ 3 ส่วน ที่เป็น
ปัญหาอุปสรรคในการแก้ปัญหาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ได้แก่
ส่วนที่ 1 คำสั่งนี้ให้มีคณะกรรมการที่ปรึกษาที่ไม่เชื่อมโยงกับประชาชน ขณะเดียวกันได้ระงับบทบาทและการใช้อำนาจหน้าที่ของสภาที่ปรึกษาซึ่งมีความเชื่อมโยงกับประชาชน ทำให้ประชาชนไม่มีช่องทางในการที่จะเชื่อมโยงกับการทำงานของ ศอ.บต. ได้อย่างที่เคย
ส่วนที่ 2 คำสั่งนี้ทำให้เกิดการจัดความสัมพันธ์ระหว่าง ศอ.บต.กับ กอ.รมน. พูดง่ายๆ คือให้ ศอ.บต. ต้องขึ้นต่อ กอ.รมน. ถ้า ศอ.บต.จะดำเนินการสิ่งใดจะต้องรับฟังคำสั่งของผู้อำนวยการ กอ.รมน. ซึ่งก็คือผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่สามารถชี้ขาดการบริหารจัดการและปฏิบัติหน้าที่ได้
ส่วนที่ 3 คำสั่งนี้กำหนดบทบาทของ กอ.รมน มาทำหน้าที่และจัดสรรงบประมาณในการป้องกันภัยแทนฝ่ายพลเรือน
การยกเลิกคำสั่ง คสช.14/2559 ที่จะนำสภาที่ปรึกษากลับมาก็ดี หรือทำให้เกิดการจัดความสัมพันธ์ระหว่าง ศอ.บต.กับ กอ.รมน.เสียใหม่ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบและวิธีบริหารจัดการเพื่อส่งเสริมบทบาทของ ศอ.บต. ให้มากขึ้น และให้มีความเชื่อมโยงกับประชาชน นอกจากนั้นสภาที่ปรึกษาฯ ที่มีขึ้นใหม่ควรมีองค์ประกอบที่เหมาะสมที่จะทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมได้จริง
สภาที่ปรึกษาฯ ใหม่นี้ควรมีบทบาทในการส่งเสริมการหารือสาธารณะที่จะช่วยกระบวนการสร้างสันติภาพสร้างสันติสุขที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ด้วย และทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การเสนอการแก้ไขพระราชบัญญัตินี้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน” ประธานกรรมาธิการ กล่าว
ในการอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายท่านได้ตั้งคำถามและแสดงความกังวลถึงมาตรา 5/1 ที่คณะกรรมาธิการได้เขียนเพิ่มเข้ามาซึ่งเป็นการกำหนดเวลาในการแต่งตั้งสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ว่าจะทำให้กระบวนการยืดเยื้อยาวนานหรือไม่
“มาตรา ๕/๑ ให้แต่งตั้งสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ กระบวนการคัดเลือก ผู้ซึ่งจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ดำเนินการใหม่ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการจังหวัด ชายแดนภาคใต้”
ซึ่งเลขานุการกรรมาธิการได้ชี้แจงว่าจากการปฏิบัติที่ผ่านมาในการเลือกสภาที่ปรึกษาฯในปี 2554 ตามระเบียบ ศอ.บต. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การคัดเลือกกำหนดเวลาตั้งแต่วันแรกจนถึงมีการประกาศรายชื่อจะใช้เวลาประมาณ 90 วันตามที่ระเบียบกำหนด ส่วนอีก 30 วันที่เพิ่มมานั้นมีข้อสังเกตจากกรรมาธิการว่าควรให้ ศอ.บต.ในฐานะหน่วยงานที่ดำเนินการได้มีการปรึกษาหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ที่จะเพิ่มเติมองค์ประกอบต่างๆทั้งในส่วนของผู้คนวุฒิและวิธีการคัดเลือกสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ให้ครอบคลุมและเน้นหลักการการมีส่วนร่วมที่แท้จริง ซึ่งถ้าไม่มีการปรับปรุงแก้ไขระเบียบอย่างไรก็ดำเนินการภายใน 120 วันก็จะได้มาซึ่งสภาที่ปรึกษาชุดใหม่
ข้อเสนอเพิ่มเติมถึงนายกรัฐมนตรี
1. นายกรัฐมนตรีควรสนับสนุนให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จัดโครงสร้างองค์กร มอบหมายผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้และเข้าใจกระบวนการทำงานของประชาชน และจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการทำงานของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยต้องคำนึงถึงความคล่องตัว ความเป็นอิสระทางความคิดและประสิทธิภาพการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนสูงสุด และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินการข้างต้นอย่างเพียงพอและเหมาะสม
2. ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ควรพิจารณาเสนอชื่อสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 มาตรา 19 (9) โดยให้พิจารณาว่ายังขาดตัวแทนจากภาคส่วนใดทั้งที่กำหนดไว้ในมาตรา 19 (1) และมิได้กำหนดไว้ ก็ให้พิจารณาแต่งตั้งจากตัวแทนของภาคส่วนที่ขาดนั้นเป็นลำดับแรกก่อนและให้คำนึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างหญิง ชาย และเยาวชน เพื่อให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ประกอบไปด้วยประชาชนทุกภาคส่วน
3.ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ควรพิจารณาเร่งรัดจัดทำระเบียบที่จำเป็นและสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้พ.ศ. 2553 มาตรา 23 เพื่อให้เป็นมาตรฐานและแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่คำนึงถึงหลักการบริหารที่มีส่วนร่วมของประชาชน
4. นายกรัฐมนตรีควรสนับสนุนให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กำหนดให้มีผู้แทนจากสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วนร่วมเป็นองค์ประกอบของคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกระดับ และเป็นกลไกสำคัญในการรับฟังเสียงสะท้อนและปรึกษาหารือสาธารณะ (Public Consultation) จากประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการสร้างสันติภาพ
5.คณะรัฐมนตรีควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดน พ.ศ. 2553 ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับทิศทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในสถานการณ์ปัจจุบันและรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการปรับปรุง แก้ไขและเพิ่มเติมพระราชบัญญัติดังกล่าวควรมีสาระสำคัญ ดังนี้
5.1 ให้มีระบบบริหารราชการที่ให้อำนาจประชาชนต่อการกำหนดและกำกับทิศทางและนโยบายและยุทธศาสตร์การบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
5.2 ให้มีสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนร่วมกับระบบสรรหา (เดิม)
5.3 ให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีสัดส่วนที่คำนึงถึงความเท่าเทียมระหว่างเพศ และให้เพิ่มองค์ประกอบจากกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเยาวชน
5.4 ให้มีมาตราเฉพาะรองรับกระบวนการและผลลัพธ์ของการพูดคุยสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าด้วยกลไกและแนวทางการเสริมสร้างสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้