เมื่อวันที่ 3 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมออกข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในมาตรการระยะเร่งด่วนสำหรับการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 โดยในด้านการป้องกันโรคและสุขภาพ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐ ดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด การระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปศึกษา ดูงาน อบรม หลักสูตร หรือประชุม ในประเทศที่มีการระบาด ให้เจ้าหน้าที่ที่เดินทางกลับมาจาก หรือ เดินทางผ่าน หรือมีเส้นทางแวะผ่านประเทศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อจำเป็นต้องสังเกตอาการ หยุดปฏิบัติงานภายในที่พัก 14 วันโดยไม่ถือเป็นวันลา ส่วนของประชาชนทั่วไป ให้ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศดำเนินการคัดกรองอย่างเคร่งครัด ในกรณีที่มีความจำเป็นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการขนส่งประชาชนกลุ่มดังกล่าวกลับภูมิลำเนาหรือไปยังสถานพยาบาลอย่างเหมาะสม รวมถึงการกำกับดูแล การกักกันตนเอง ณ ที่พักอาศัย โดยให้มีการบูรณาการการดำเนินงานระหว่างชุมชน จิตอาสาอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และสถานพยาบาลในพื้นที่ ในการติดตามเฝ้าระวังตรวจสอบ และป้องกันอย่างใกล้ชิด จัดให้มีศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ขึ้น ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อบูรณาการข้อมูลจากทุกส่วนราชการ รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน และสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้กับสาธารณสุข ทุกหน่วยงานร่วมกันพิจารณาปริมาณความต้องการของสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพระบาด เช่น หน้กากอนามัย และน้ำยาฆ่าชื้อหรือเจลฆ่าเชื้อ
นอกจากนี้ยังให้ทุกหน่วยงานบูรณาการคัดกรองทั้งในส่วนของพื้นที่สาธารณะ สถานที่ให้บริการด้านคมนาคมทุกแห่งการจัดพื้นที่สำหรับสังเกตอาการ สำหรับคณะกรรมการแก้ไขปัญหาขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการและภาครัฐชนหลีกเลี่ยงหรือเลื่อนการจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก พร้อมมอบให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รวมถึง รมว.คลัง จัดทำมาตรการบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจจัดการให้ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้สั่งการให้ 11 โรงงานเพิ่มกำลังการผลิตหน้ากากอนามัย และต้องมีการกระจายผ่านช่องทางต่างๆ รวมถึงของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้ทั่วถึงกับประชาชนทุกพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีมาตรการที่จะให้ท้องถิ่นผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้าจำนวน 50,000,000 ชิ้น ภายใน 10 วัน เพื่อให้เป็นทางเลือกและเพียงพอต่อความต้องการมากที่สุด ทั้งนี้หากพบมีการจำหน่ายหน้ากากอนามัยพี่อาจเข้าข่ายไม่ถูกต้องก็ขอให้แจ้งข้อมูลเข้ามาที่หน่วยงานรัฐ
สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือการกักตุนสินค้า โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าและรายงานการผลิต และการกระจายสินค้า ซึ่งขณะนี้มีการกับกุมดำเนินคดีไปกว่า 51 คดีในการจำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคามีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี และปรับ 140,000 บาท ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี เตือนว่าการหลอกลวงขายหน้ากากอนามัยออนไลน์ รัฐบาลติดตามในรายละเอียดทุกอย่าง
เตรียมมาตราการรับผีน้อยหนีโควิด-19 กลับไทย
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีคนไทยในเกาหลีใต้ที่ร้องขอเดินทางกลับประเทศ ว่า ในวันที่ 4 มี.ค. จะมีการประชุมอีกครั้ง เพื่อหารายละเอียดและมาตรการรองรับ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการออกมาตรการทั่วไป ทั้งในเรื่องของระงับการเดินทาง การเฝ้าสังเกตอาการหลังเดินทางกลับ และการกักตัวหากพบว่ามีไข้ ทั้งแบบที่บ้านและการกักตัว ซึ่งในกรณีของผีน้อย ต้องพิจารณาอย่างละเอียดเนื่องจากมีจำนวนกว่า 5,000 คน ซึ่งอาจจะยากต่อการควบคุม ที่ต้องรอดูว่าประเทศต้นทางจะให้สามารถเดินทางออกมาได้จำนวนกี่คน เพราะประเทศต้นทางก็มีมาตรการควบคุมเช่นกัน จึงต้องหามาตรการที่เหมาะสมว่าจะกักตัวอย่างไร นายกรัฐมนตรี ระบุทราบดีว่าประชาชน ยังไม่ค่อยมั่นใจ แต่ยืนยันด้านความพร้อมสาธารณสุข ทั้งแพทย์ พยาบาล และยา ที่ผลิตเองก็มีความพร้อมแล้ว โดยยาดังกล่าวมีความใกล้เคียงกับยาที่สั่งซื้อมาจากจีน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีมาตรการใดที่สามารถทำได้ 100% เพราะไม่สามารถออกเป็นคำสั่งได้ จึงขอให้ทำความเข้าใจ ส่วนการจัดกิจกรรมที่มีคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการจัดประชุม การจัดกีฬาและการท่องเที่ยว ที่ได้สั่งการไปแล้วว่าให้เลื่อนทั้งหมด ขณะที่การชุมนุมและร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่มีคนมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากหากเลื่อนได้ ก็ขอความร่วมมือให้เลื่อนออกไปก่อน และสถานที่ที่จัดกิจกรรมก็ควรที่จะดูแลตัวเอง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ปัญหาขณะนี้ มีคนหลายกลุ่มหลายกิจกรรม จึงต้องมาดูว่าจะเกิดผลดีผลเสียอย่างไร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือสุขภาพของคนไทยเป็นหลัก
'อนุทิน' รับตกใจแรงงานไทยผิดกฎหมายกว่า 5 พันคนขอกลับไทย
ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีแรงงานไทยผิดกฎหมายในประเทศเกาหลีใต้ขอเดินทางกลับประเทศไทยกว่า 5,000 คนว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ซึ่งวันนี้จะกลับไปรวบรวมข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงสาธารณสุข ก่อนนำไปหารือในการประชุมในวันที่ 4 มี.ค. กับนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามาตราการกรณีนี้โดยเฉพาะ ส่วนตัวยอมรับว่ารู้สึกตกใจ เพราะไม่ทราบว่ามีปัญหานี้มาก่อน และมาตรการที่วางไว้ก็ไม่ได้เตรียมสำหรับเรื่องนี้ โดยบอกว่ามาตรการที่นำมาใช้กับผีน้อย จะเข้มข้นกว่าการเคลื่อนย้ายบุคคลมาจากอู่ฮั่น เนื่องจากเป็นระบบปิดที่รัฐบาลนำเครื่องบินไปรับ แต่กรณีเป็นระบบเปิดที่ต่างคนสามารถเดินทางกลับมาโดยเครื่องบินพาณิชย์
นายอนุทิน ระบุว่า ได้มีการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง ท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 พ.ศ. 2563 ประกอบด้วย ญี่ปุ่น เยอรมนี เกาหลีใต้ จีน รวมถึงมาเก๊าและฮ่องกง ไต้หวัน ฝรั่งเศส สิงค์โปร อิตาลี และอิหร่าน จะทำให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการปฏิบัติได้มากขึ้น รวมถึงจะสามารถดำเนินการได้ตามผลการประชุมที่จะออกที่จะออกมาในวันที่ 4 มี.ค.
นอกจากจะมีประโยชน์ในการป้องกันแล้ว ยังจะสามารถบังคับใช้กับกลุ่มผีน้อยและผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงให้มีการกักตัว 14 วัน แต่ยังไม่ใจว่าจะกักตัวที่บ้านหรือสถานที่ที่จัดให้ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการกักตัว ผู้ที่ถูกกักตัวจะต้องผิดชอบด้วยหรือไม่โดยจะเป็นมติการประชุมในวันที่ 4 มี.ค.
นายอนุทิน ยืนยันความพร้อมในการรับมือกับผู้ที่เดินทางกลับทั้งเวชภัณฑ์ บุคลากรทางการแพทย์ ห้องพยาบาลและการคัดกรอง ซึ่งเป็นมาตรการเชิงรับ แต่มาตรการเชิงรุกต้องประสานงานสถานทูตไทยในกรุงโซล และสายการบิน เพื่อให้จัดการกับกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อ ในการเดินทางกลับไทย ย้ำว่าไม่ใช่แค่ผีน้อยแต่เป็นทุกคนที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ทั้งนี้นายอนุทินยืนยันว่าไทยยังไม่เข้าสู่การระบาดของโควิด-19 ในระยะที่สาม เนื่องจากยังสามารถประคองสถานการณ์ได้ แม้จะมีผู้เสียชีวิต 1 ราย แต่รายนั้นมีอาการป่วยจากโรคอื่นอยู่แล้ว พร้อมยืนยันว่า หน้ากากอนามัยที่ใช้ในโรงพยาบาลเพียงพอเพราะใช้วันละ 350,000 ชิ้นต่อวัน ซึ่งกระจายไปเพียงพอ และมีบางส่วนที่กระทรวงกักตุนไว้ใช้ในกระทรวง แต่ไม่ขาดแคลน