อำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ ประกอบด้วย ‘อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ’ ตามหลักการประชาธิปไตย
‘ประธานสภา’ คือตำแหน่งที่มีความสำคัญอย่างมาก ในฐานะประมุขของฝ่าย ‘นิติบัญญัติ’ เปรียบได้กับควอร์เตอร์แบ็กมือทองที่สามารถกำหนดทิศทางของเกมในสนาม สามารถควบคุมกระบวนการตรากฎหมาย ตรวจสอบและถ่วงดุลฝ่ายบริหาร เช่น การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หรือการตั้งกระทู้ถามคณะรัฐมนตรี ฯลฯ
มากกว่านั้น อีกบทบาทของ ประธานสภา คือการเป็นผู้นำชื่อ ‘นายกรัฐมนตรี’ ขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อพระมหากษัตริย์ หลังที่ประชุมรัฐสภาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นปราการสำคัญของพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ภายใต้กลไกลรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีรากฐานจากการรัฐประหาร
วอยซ์ รวบรวมอำนาจ หน้าที่ และความสำคัญของตำแหน่ง ‘ประธานรัฐสภา’ ทั้งในฐานะประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ และตัวแปรสำคัญในเกมการเมืองหลังเลือกตั้ง ว่าเหตุใด ตำแหน่งนี้จึงกลายเป็นที่หมายตาของทุกพรรคในทุกยุคทุกสมัย
สภาผู้แทนราษฎรในฐานะ ‘นิติบัญญัติ’ มีหน้าที่คือ
โดยเฉพาะการ ‘ออกกฎหมาย’ ถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากออกกฎหมายใดแล้ว ฝ่ายบริหาร ก็จะมีหน้าที่ในการนำกฎหมายนั้นไปดำเนินการบริหารประเทศ ดังนั้น ประธานรัฐสภา จึงถือว่าบทบาทสำคัญ เพราะเป็นตำแหน่งมีทั้งอำนาจในการบรรจุวาระเข้าสู่สภา สั่งเปิด ปิด และพักการประชุม และจัดลำดับวาระการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติได้ ตลอดจนเป็นผู้วินิจฉัยหรือกำหนดการอภิปรายของ ส.ส. ในสภา ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติรายจ่ายงบประมาณประจำปี หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา 2563 กำหนดอำนาจและหน้าที่ของประธานสภาไว้ดังนี้
การได้มาซึ่งประธานสภา มีขั้นตอนดังนี้
แม้รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาต้อง ‘วางตัวเป็นกลาง’ ในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ที่ผ่านมา มีข้อ กล่าวหาว่าการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภาไม่มีความเป็นกลางหลายครั้ง
อาจเนื่องจาก หนึ่ง- ที่มาของประธานสภาส่วนใหญ่ มาจากพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก ทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา ถูกครอบงำโดยพรรคการเมือง และสอง - การปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภาบ่อยครั้ง ขาดความเป็นอิสระและขาดความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ มีการเลือกข้างในการปฏิบัติหน้าที่และสนับสนุนการทำหน้าที่เฉพาะ ส.ส. ฝ่ายของตน
ยกตัวอย่างในยุคสภาฯ ชุดที่ผ่านมา ดังนี้
ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 2562 ระบุว่า ต้องเสนอญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานสภา และต้องมีสมาชิกรับรองไม่ต่ำกว่า 5 คน ส่วนญัตติว่าด้วยการขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการ หรือขอให้คณะกรรมาธิการสามัญกพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดๆ ต้องมีสมาชิกรับรอง ไม่ต่ำกว่า 20 คน
กรณีญัตติด่วน สมาชิกสามารถเสนอให้สภาพิจารณาเป็นการด่วนก็ได้ โดยให้เป็นอำนาจของประธานสภาในการวินิจฉัย (ตามดุลยพินิจ) และบรรจุเข้าวาระเร่งด่วน
การจัดระเบียบวาระการประชุม มีลำดับคือ
หากประธานสภาเห็นว่าเรื่องใดเป็นเรื่องด่วน ก็สามารถจัดไว้ในลำดับใดของระเบียบวาระการประชุมก็ได้ (แต่จัดไว้ก่อนเรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้วไม่ได้ )
สำหรับสภาฯ ชุดที่ผ่านมา มีญัตติหลายประเด็น ที่ไม่ได้บรรจุเข้าสู่วาระในสภา เช่น
หากจะทำการประท้วงในสภา ส.ส. หรือ ส.ว. จะต้องยืนและยกมือขึ้นพ้นศีรษะ รอจนกว่าประธานจะเห็นและอนุญาตจึงกล่าวคำประท้วงได้ โดยชี้แจงเหตุผลการประท้วงของตน เสร็จแล้วประธานในที่ประชุมสภาจะเป็นผู้วินิจฉัยว่า การอภิปรายมีการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือพาดพิงทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใดตามที่ประท้วงหรือไม่ ถ้าวินิจฉัยว่าผิดข้อบังคับหรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ประธานก็จะสั่งให้ผู้อภิปรายถอนคำพูดหรือไม่ก็ยุติการอภิปรายเสีย คำวินิจฉัยและคำสั่งของประธานถือเป็นเด็ดขาด
แต่ในทางปฏิบัติจริง การประท้วงมักถูกนำมาใช้เป็นเกมการเมือง และบ่อยครั้ง ส.ส. หรือ ส.ว. มักไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัด เช่น เมื่อยืนและยกมือประท้วง มักชิงพูดขึ้นมาเลยโดยไม่รอประธาน บางกรณีก็ตะโกนโหวกเหวกด้วยความไม่พอใจ เมื่อประธานไม่ชี้หรือไม่เปิดโอกาสให้พูด และผู้ประท้วงชี้แจงจบแล้ว ยังไม่ทันที่ประธานจะวินิจฉัยตามข้อบังคับ สมาชิกคนอื่นก็ลุกขึ้นมาประท้วงบ้าง ซึ่งเป็นการผิดข้อบังคับการชุมสภา
ในกรณีการประท้วงซ้ำซากติดต่อกันเป็นลูกโซ่ โดยเจตนาขัดขวาง หน่วงเหนี่ยว หรือขัดจังหวัดการอภิปรายของอีกฝ่ายหนึ่ง บ่อยครั้งพบว่า การวินิจฉัยหรือการใช้ดุลยพินิจ ตลอดจนการควบคุมการประชุมสภา ของประธานสภาไม่เป็นกลาง เช่น การไม่ตักเตือนห้ามปรามผู้ประท้วงที่ไม่มีเหตุผลอันสมควรประท้วง การวินิจฉัยให้คุณแก่ฝ่ายพรรคการเมืองของตน หรือการใช้ดุลพินิจเกินไปกว่าถ้อยคำในกฎหมาย
เหตุการณ์ ‘สภาล่ม’ คือกรณีที่มีการนับองค์ประชุมแล้วจำนวนสมาชิกสภาที่แสดงตนไม่ครบกึ่งหนึ่ง สภาก็จะไม่สามารถประชุมต่อไปได้ โดยประธานสภาจะต้องสั่งปิดประชุม
ที่มีการประชุมที่มีองค์ประชุมไม่ถึงกึ่งหนึ่ง เช่น
การนับ ‘องค์ประชุม’ เกิดขึ้นได้ใน 2 กรณี คือ
หนึ่ง - ก่อนการลงมติทุกครั้ง ประธานสภาจะกดออดเพื่อเรียกสมาชิกสภาให้มาแสดงตนเพื่อตรวจสอบองค์ประชุม ทั้งนี้ ประธานสภา ‘บางคน’ ก็อาจเลือกที่จะรอไม่นาน แล้วนับองค์ประชุมเลย ในขณะที่ประธานบางคนอาจเลือกรอให้สภาชิกสภาเดินทางมาแสดงตัวให้ทันก่อนจึงค่อยนับองค์ประชุม
สอง - สมาชิกสภาคนหนึ่งเสนอญัตติต่อประธานสภา ขอให้มีการนับองค์ประชุมแบบกดบัตรหรือขานชื่อ โดยการนับองค์ประชุมด้วยการกดบัตรมักจะรวดเร็วกว่า ทำให้สมาชิกสภาที่กำลังเดินทางมาแสดงตน (โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาล) อาจมาไม่ทันการนับองค์ประชุม
ยังมีกรณีที่ประธานสภาสั่งปิดประชุมเองโดยที่ยังไม่ได้มีการนับองค์ประชุม หากเห็นว่าจำนวนสมาชิกสภาที่อยู่ในห้องประชุมนั้นบางตา จะเห็นได้ว่า ในบางกรณี การประชุมสภาครั้งนั้นๆ จะ ‘ล่ม’ หรือ ‘ไม่ล่ม’ ก็ขึ้นอยู่กับประธานสภานั่นเอง
อ้างอิง