'โด่ง อรรถชัย' ก้าวเท้าสู่มาตุภูมิเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2565 ให้หลัง 8 ปี จากรัฐประหาร คสช. ยึดอำนาจเมื่อ ปี 2557
มีคนไทยไปลี้ภัยในต่างประเทศมากกว่า 100 คน มีนักเคลื่อนไหว 10 คนหายตัวไร้ร่องรอย อีก 2 คนกลายเป็นศพ
'ผู้ต้องหาในคดีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. กรณีไม่มารายงานตัว' 'คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพผิด ม.112' และคดีเกี่ยวข้องกับอาวุธ คือคดีความหลักที่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้เจอ
รัฐไทยแปะป้ายข้อความสีแดงบนตัวพวกเขาว่า ‘ภัยความมั่นคงประเทศ’ เสมือนใบเบิกทางให้เจ้าหน้าที่ทั้งบนดินและใต้ดิน 'ฆ่า' ได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย
เพียงเพราะพวกเขาออกมาเรียกร้องความต้องการทางการเมือง เช่น ต่อต้านการยึดอำนาจรัฐประหาร, เปิดโปงเครือข่ายอำนาจมืดที่แซงแทรงกฎกติกาการเมืองแบบประชาธิปไตย, แฉการละเมิดสิทธิมนุษยชนประชาชนโดยเจ้าหน้าที่ ฯลฯ
ไม่รู้ว่าพวกเขาจะวิ่งหนีมัจจุราชในนามรัฐไทยได้อีกนานเท่าไหร่ ซึ่งอันที่จริงพวกเขาไม่ใช้อาชญากรคดีอาญาร้ายแรง เป็นเพียงผู้ต้องการเรียกร้องสิทธิทางการเมืองที่พวกเขาควรได้เท่านั้น
แต่คงไม่มีใครคาดคิด
‘ผู้ลี้ภัยการเมืองต่างแดน’ คดีฝ่าฝืนคำสั่งคณะรัฐประหาร หลัง ‘คณะทหาร คสช.’ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจเมื่อ 22 พ.ค. 2557 จะได้กลับบ้าน
ชนิดที่กลับบ้านได้อย่างสง่าผ่าเผยแบบ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ทำอะไรไม่ได้
มันเกิดขึ้นกับ ‘โด่ง’ อรรถชัย อนันตเมฆ อดีตดารานักแสดงชื่อดัง อดีตผู้ต้องหาตามหมายจับคดีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. กรณีไม่มารายงานตัว หนึ่งในผู้ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลา 8 ปีแล้ว
“ก็ไม่ไป” เหตุผลสั้นๆ ที่โด่งตอบ เมื่อถามถึงว่าทำไมไม่ไปรายงานตัว คสช.
เขาตั้งปณิธานไว้แล้วว่า จะต่อต้านรัฐประหาร สำหรับเขาเมื่อทหารยึดอำนาจ สิ่งที่พวกมันมักทำก็คือ ทำให้ประชาชนแสดงออกถึงการมอบอำนาจให้พวกมัน มันจะออกคำสั่งคณะปฏิวัติ เช่น ห้ามออกจากบ้าน หรือเรียกไปรายงานตัว ถ้าเราทำตามมันเท่ากับว่าเรามอบอำนาจอธิปไตยให้มัน มันก็จะปฏิวัติสำเร็จ
“พม่าทุกวันนี้พวกทหารยังยึดอำนาจไม่สำเร็จ เพราะคนพม่าไม่ยอมรับอำนาจ ทหารประกาศเคอร์ฟิวส์ คนพม่าเอาหม้อมาเคาะ เขาไม่ทำตามคำสั่ง ตั้งกองกำลังติดอาวุธต่อต้าน”
โด่งทำแบบคนพม่า โดยการไม่ไปรายงานตัวกับคณะรัฐประหาร และเขาทำมันก่อนหน้าคนพม่าเท่านั้น
“ผมไม่ได้หนี ขอเริ่มต้นแบบนี้ก่อน”
โด่งเล่าว่า แผนการลี้ภัยทางการเมืองไปต่างประเทศของเขา เกิดขึ้นวันที่ 24 พ.ค. 2565 หนึ่งวัน หลัง คสช. ทำรัฐประหารและการลี้ภัยครั้งนี้เขาทำด้วยความตั้งใจที่จะเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารในต่างประเทศ ซึ่งล้วนเป็นแผนที่เขาเตรียมไว้แล้ว
(ภาพจาก โด่ง อรรถชัย)
การเดินทางออกจากประเทศไทยของโด่งเหมือนการไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่แค่ไม่กลับมาอีกเท่านั้น เพราะเขาถูก คสช. ออกคำสั่งเรียกมารายงานตัวตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2557 เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2557 หลังเดินทางออกนอกประเทศไทยไปแล้ว
เหตุผลที่เขากังวลว่าจะตกเป็นเป้าหมายการคุกคามจากคณะรัฐประหารนอกจากเขาจะเป็นข้าราชการการเมืองตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและเขายังเป็นพิธีกรจัดรายการ ‘สามแยกปากแมว’ ช่อง MV5 ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเชียอัพเดด ซึ่งเป็นรายการวิเคราะห์-วิจารณ์ ข่าวสารบ้านเมืองช่วงการเคลื่อนไหวของมวลชน กปปส. ต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสนับสนุนให้ทหารยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
“ในเมืองไทยคงจะไม่มีใครต่อต้านพวกมันได้ คิดว่าอยู่เมืองนอกน่าจะทำงานจัดรายการปลุกคนต่อต้านการรัฐประหารได้ดีกว่า”
เมื่ออยู่ต่างประเทศเขาก็เคลื่อนไหวต่อต้านการยึดอำนาจของคณะ คสช. ผ่านช่องทางยูทูป “รู้ทัน ชาแนล” ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดตาม 2.25 แสนคน
“เอาว่าประเทศที่ไปก็ประเทศเพื่อนบ้าน แต่ไม่ขอระบุประเทศนะ แล้วก็ย้ายไป 2-3 ประเทศ” โด่งย้ำพวกเราถึงเรื่องขอปกปิดชื่อประเทศที่เขาลี้ภัยไปอยู่ เพื่อความปลอดภัยของคนไทยที่เปิดบ้านต้อนรับให้เขาลี้ภัยฟรี
โด่งเล่าว่าตัวเขาไม่ได้ทำเรื่องของสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองเหมือนคนอื่นๆ เขาเป็นเพียงสถานะนักท่องเที่ยว เพราะเขาวางแผนย้ายประเทศไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้มีสถานผูกผันกับประเทศใดประเทศหนึ่ง
“ที่อยู่ก็อยู่ด้วยการอุปถัมภ์ของประเทศนั้นๆ แบบไม่เป็นทางการ บางทีเขา (ทางการประเทศนั้น) ก็รู้ว่าเราคือผู้ลี้ภัยทางการเมือง แต่ทางการที่นั่นก็ไม่มารบกวน บางประเทศก็อยู่นานหน่อย ถ้าเรามีพรรคพวก มีผู้หลักผู้ใหญ่ดูแล”
(ภาพจาก โด่ง อรรถชัย)
โด่งบอกเขาเป็นคนกินง่าย อยู่ง่าย บางประเทศเขาได้พักที่คอนโดริมแม่น้ำ บางประเทศเขาได้นอนห้องพักขนาดเล็ก
“พอไปปุ๊บจะมีคนติดต่อ ไปอยู่นี่ไหม อยู่นั่นไหม จริงๆ แล้วมีที่ให้เลือกอยู่เยอะมากนะ อยู่ต่างประเทศลำบากไหม ไอ้ลำบากกายไม่ลำบาก เพราะว่ามีคนช่วยเหลือเป็นเพื่อน คือเขาก็โอบอุ้ม แต่มันลำบากใจ อย่างที่บอกมันไม่ใช่บ้านเรา”
(ภาพจาก โด่ง อรรถชัย)
ส่วนรายได้เพื่อการใช้ชีวิตที่ต่างแดนของโด่ง นอกจากเงินเก็บส่วนตัวช่วงเป็นนักแสดง เขายังมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ดูแลผิวหน้า ผิวกายภายใต้แบรนด์ ‘Mr.Dee’ ของตัวเองและของแฟนสาวที่อยู่ประเทศไทยที่เขาค้าขายตั้งแต่ปี 2553 ในการใช้จ่ายและชำระหนี้สินต่างๆ ในประเทศไทย
“ที่ถามว่าเรื่องผู้ลี้ภัยท่านอื่นๆ ที่เราอยู่ต่างประเทศมีโอกาสได้เจอไหม มีโอกาสได้เจอ แต่ว่าปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง มันลำบาก เพราะแต่ละเขามี safe zone ของตัวเอง”
โด่งบอกว่า ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ลี้ภัยพร้อมกับตัวเขาหลายคนมีคดีความมั่นคงติดตัวอีกมากทำให้จำเป็นต้องมีการรักษาความลับของตัวเองเพื่อความปลอดภัยอย่างเข้มข้น ผู้พบเจอต้องปฏิบัติตาม เช่น ห้ามถ่ายรูปเผยแพร่สาธารณะ ห้ามพูดคุยเรื่องที่พักที่อยู่อาศัย เป็นต้น
เหตุที่ผู้ลี้ภัยต้องมีกฎ ‘รักษาลับ’ ยึดถือให้ผู้มาเยือนปฏิบัติอย่างเคร่งคัดก็เพราะว่ามีสายลับจากแผ่นดินไทยเดินทางเข้าสืบข่าว ตามตัวผู้ลี้ภัยจริงอย่างที่หลายคนลือกัน
“เราเคยดูหนังใช่ไหมแบบเจมส์ บอนด์ มันมีจริง (หัวเราะ) แล้วสายลับในประเทศไทยมันก็มีที่อยู่ในต่างประเทศแทบทุกประเทศด้วย เครือข่ายพวกนี้เยอะ”
และเรื่องผู้ลี้ภัยที่โดนอุ้มและฆ่าก็มีจริง!
โด่งย้ำทางเดียวที่จะปกป้องความปลอดภัยตัวเราเองคือ อย่าให้สายลับหาข่าว ที่อยู่ได้ รวมถึงตัวเจ้าของบ้านที่ลี้ภัยก็ห้ามติดต่อปฏิสัมพันธ์กับพวกเรา
"รู้สึกดีใจก็คือมันเร็วกว่าที่เราคิด" โด่งเปิดเผยความรู้สึก เขาไม่คิดว่าตัวเองจะได้กล้บบ้านที่ประเทศไทยในช่วงนี้ เพราะอำนาจของผู้นำการรัฐประหารยังมีอยู่ในประเทศไทย
โด่งเล่าช่วงเวลาที่รู้ว่าจะสามารถกลับประเทศไทยโดยไม่ถูกทางการไทยควบคุมตัวว่า ช่วงปี 2563 เขาติดตามข่าวในประเทศไทยกรณี ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2564 ว่ากรณีที่ ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ (มธ.) ในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. กรณีไม่มารายงานตัวซึ่งเป็นความผิดเดียวกันกับตัวโด่ง นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2560 ตามกฎหมายมาตรา 26 ที่ระบุว่า “การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้อง เป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้กฎหมาย ดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควร แก่เหตุและจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ซึ่งทำให้คดีที่ติดตัวผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้งหมดเป็นโมฆะ รวมถึงของโด่งด้วย
โด่งเล่าต่อว่า หลังจากที่ทราบว่าตัวเองไม่มีคดีความติดตัวและสามารถเดินทางกลับไทยได้ ผมได้ติดต่อคุณวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) เพื่อมอบอำนาจให้ดำเนินการยื่นคำร้องขอให้ศาลแขวงดุสิตซึ่งเป็นศาลพิจารณาคดีความอาญาเพิกถอนหมายจับคดีนี้ จนในที่สุดศาลพิจารณาเพิกถอนหมายจับดังกล่าวให้เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2564
"ต้องขอขอบคุณทางทนายวิญญัติที่ช่วยดำเนินการทางกฎหมายให้ทุกอย่างโดยไม่เอาค่าใช้จ่าย จนผมได้กลับบ้านอย่างชนิดที่พล.อ.ประยุทธ์และพวกทำอะไรไม่ได้"
“ผู้ลี้ภัยทางการเมืองแม่งควรจะเป็นเกาหลีเหนือนะ ไม่ใช่ประเทศไทย”
สำหรับโด่ง ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง ไม่ใช่ประเทศเผด็จเต็มขั้นอย่างเกาหลีเหนือ ดังนั้นไม่ควรมีผู้ลี้ภัยทางการเมือง ลี้ภัยเพราะมีคดีทางการเมือง
“การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน ถ้าประชาชนต้องลี้ภัยแปลว่าการเมืองไม่ได้เป็นเรื่องของประชาชนแล้ว มันเป็นเรื่องของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งประชาชนไปขัดแย้งกับเขา มันควรไหม มันเป็นความน่าอายของประเทศเราจริงๆ นะ”
ฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่เรา (ประเทศไทย) ต้องเอาผู้ลี้ภัยทางการเมืองทั้งหมดกลับบ้าน ถึงเวลาที่ทบทวนเรื่องราวทั้งหมดใหม่ เอาคดีความมาแยกประเภทความผิดอย่างชัดเจน คดีไหนที่ผิดอาญาจริงก็ขึ้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ขึ้นศาลทหาร ไม่ใช่ใช้อำนาจของใครมาตัดสินตามเป้าหมายทางการเมือง
“ส่วนไอ้ที่โดนยัดคดีเพราะความขัดแย้งทางการเมือง เป็นคดีไม่เป็นเรื่องเป็นราว เลอะเทอะ จบ ลบล้างกันไป”
สิ่งที่โด่งกล่าวหมายรวมถึงคดีความทางการเมืองที่อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์และทักษิณโดนด้วย เพราะทั้งคู่โดนตัดสินโดยอำนาจของคณะรัฐประหารทั้งคู่
“ผมเป็นคนที่ลี้ภัยมา เพราะฉะนั้นเข้าใจหัวใจผู้ลี้ภัยทุกคน อยากให้ทุกคนได้กลับบ้าน อยากที่บอกให้ฟังมันควรมีการพิจราณาคดีความทางการเมืองเรื่องเหล่านี้ให้มันเข้าที่เข้าทาง ให้มันถูกต้อง ในที่สุด แล้วก็อยากเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆ ทุกคนที่ยังไม่ได้กลับมานะ”
“เหตุการณ์ปี 2535 ศรัณยู วงศ์กระจ่างกับพี่ก็ยังไปวิ่งหลบกระสุน รสช. กันอยู่ตามอนุสาวรีย์อยู่กันเลย” โด่งเล่าย้อนเส้นทางเข้าสู่การเมืองในช่วงที่อาชีพนักแสดงเขากำลังรุ่งเรือง
ผลจากการออกไปร่วมต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยร่วมกับประชาชนจำนวนมากกลางกรุงเทพฯ ของโด่งเมื่อปี 2535 จนได้รัฐธรรมนูญฉบับที่เรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุดฉบับหนึ่งมา
แต่แล้วมันก็ถูกฉีกลงเมื่อเกิดการรัฐประหารปี 2549 โดยคณะทหาร คมช. เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตโด่งไปอย่างไม่มีวันกลับ
“ผมเริ่มมองเห็นวิธีการปลุกระดมการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มคนเสื้อเหลืองที่นำโดยสนธิ ลิ้มทองกุล ตอนนี้คิดว่า เฮ้ย! ทำไมเขาพูดแล้วมันเป็นความจริงด้านเดียว อีกด้านหนึ่งไม่มีใครพูด โดยเฉพาะเรื่องที่มวลชนเสื้อเหลืองหลายคนสนับสนุนการทำรัฐประหาร”
สำหรับโด่งการรัฐประหารปี 2549 หรือแม้กระทั้งปี 2557 ถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรง มันไม่ใช่การยึดอำนาจคุณทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์ เพราะทั้งคู่เป็นคนที่รับอำนาจจากประชาชนที่เลือกตั้งไปทำงาน
“เรามอบอำนาจให้รัฐบาล อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เป็นของผม แล้วคุณ (คณะรัฐประหาร) แล้วมายึดอำนาจไป นี่คือการยึดอำนาจของผม ยึดอำนาจประชาชนเกือบทั้งประเทศ”
ในที่สุด ‘กลุ่มคนเสื้อแดง’ คือกลุ่มที่พูดความจริงอีกด้านที่โด่งไม่เคยรับรู้มาก่อน จนตัวเขาตัดสินฝากชีวิตการต่อสู้ทางการเมืองไว้กับกลุ่มนี้จนชีวิตนักแสดง ผู้กำกับละครจบสิ้นไป
“ช่วงปี 2553 ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ชวนผมขึ้นปราศรัยเวทีเสื้อแดง จนช่อง 7 ยกเลิกคิวการแสดงผมหมด ดีช่วงนั้นยังเหลือช่อง 3 นิดหน่อยพอเลี้ยงชีพ เหตุการณ์ตอนนั้นเท่ากับว่ามันผลักไสให้ไปเดินทางการเมืองเต็มตัว”
(ภาพจาก โด่ง อรรถชัย)
หลังจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เม.ย.-พ.ค. 2553 โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โด่งลุยการเมืองกับกลุ่มคนเสื้อแดงเต็มตัว กระทั่งพรรคเพื่อไทยทาบทามเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคและถูกผู้ใหญ่พรรคดันเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขตใน กทม. แต่โด่งปฏิเสธเพราะตัวเขาต่อต้านรัฐธรรมนูญปี 2550
สุดท้ายหลังพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งให้เป็นรัฐบาลเมื่อปี 2554 พรรคเพื่อไทยให้โด่งรับตำแหน่งข้าราชการประจำสำนักเลขานายกรัฐมนตรีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนถึงปี 2557
“ที่ถามว่าทำไมดารา นักแสดง สนับเผด็จการ ง่ายๆ คือวงการบันเทิงเป็นวงการที่เติบโตมาจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมไง”
โด่งบอกว่า ถ้าย้อนกลับไปดูสมัยแรกๆ ของวงการบันเทิงไทย นักแสดงในหนังไทยก็ส่วนใหญ่เป็นหม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ อีกทั้งผู้สร้างผู้จัดสมัยก่อน คนทำหนังเมื่อก่อนก็เป็นหม่อมเจ้าหม่อมราชวงศ์
“ศิลปะการละครแบบไทยๆ ที่เราเห็น ละครเวทีเฉลิมไทย จากนั้นกลายมาทำช่อง 4 บางขุนพรหม เพราะฉะนั้นรากเขาถ่ายถอดสืบกันมาเรื่อย แล้วมันค่อยๆ จางไปตามสังคมที่เปลี่ยนไป ณ ปัจจุบัน”
ย้อนที่ว่าทำไมเขามาเป่านกหวีดกันมาก โด่งบอกว่า ส่วนหนึ่งก็คือรากเหง้าของดาราทุกคน เขามีความอนุรักษนิยมอยู่ในใจอยู่ ทีนี้ก็วันหนึ่งมีคนไปบอกเขาผิดๆ ว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์เนี่ยล้มเจ้า เสื้อแดงล้มเจ้า พวกเขาเลยออกมา
"ต้องบอกเลย ดารานกหวีดที่เคยออกมาเป่า ทุกวันนี้เขารู้แล้วว่าเขาเข้าใจผิด หลายคนก็รู้แล้วว่าโดนหลอกไป แล้วส่วนเรื่องการเมืองประชาธิปไตยอะไรนั่น เขาไม่รู้อะไรเท่าไหร่หรอก"
“วันนี้ให้ผมเลือก ผมก็เลือกทักษิณ ผมก็เลือกคุณยิ่งลักษณ์ ผมก็เลือกเพื่อไทย เพราะมันไม่มีใครดีไปกว่านี้ มีไหม มันมีใครที่มันดีไปกว่านี้ไหม เอาข้อเท็จจริงเลย ไม่ใช่ว่าเราจงรักภักดีอะไร” โด่งตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นหลังจากขอให้พูดถึงพรรคเพื่อไทยและอดีตนายกฯ ตระกูลชินวัตร
สำหรับโด่งชื่นชอบอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร อย่างมาก ด้วยเหตุผลที่อดีตนายกฯ ทักษิณเป็นคนที่มีความสามารถ มีทัศคติ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
แล้วที่สำคัญสำหรับโด่งอดีตนายกฯ ทักษิณมีประสบการณ์ทางธุรกิจและทางการเมืองอันยาวนาน
“ไม่มีใครก็ซื้อคุณทักษิณได้ จะบอกว่าเป็นอัจฉริยะก็ต้องยอมรับนะ แล้วแกมีความโดดเด่นมากกว่าคนอื่น แล้วที่สำคัญคือเขาไม่ได้ทำเหมือนคนอื่น”
(ภาพจาก โด่ง อรรถชัย)
โด่งบอกว่า ประเทศไทยมีมหาเศรษฐีจำนวนมาก หลายคน แต่จะมีกี่คนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรี เปิดหน้าชนการเมืองแบบทักษิณ
นอกจากนี้นักธุรกิจทุกคนยุ่งการเมืองหมด เพราะมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในธุรกิจ เพียงแต่ว่ายุ่งแล้วไม่ออกหน้า ยุ่งแล้วอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองเท่านั้น
“ไอ้พวกที่อยู่ข้างหลังพรรคการเมืองไม่ยอมเปิดหน้านั่นแหละ น่ากลัวกว่าอีก แล้วที่ไอ้พรรคที่บอกไม่มีเจ้าของ ที่แท้เป็นขี้ข้านายทุนทั้งนั้น เราก็เห็น นโยบายออกมาแทนที่จะทำเพื่อประชาชนก็ต้องทำเพื่อนายทุนก่อน เพราะไปเอาเงินเขามาหาเสียง ใช่ ไม่ใช่”
ส่วนเรื่อง แพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊งค์ ลูกสาวคนเล็กของทักษิณตัดสินใจลงเล่นการเมือง โด่งมองว่า เป็นสิทธิของเขา แม้หลายคนจะมองว่าเป็นสืบทอดอำนาจของทักษิณและครอบครัวชินวัตร
“ผมคิดว่าถ้ามันจะสืบทอดอำนาจมันต้องให้ประชาชนเลือก ไม่ใช่คุณทักษิณเลือกนะ สมมติว่าถ้ามองว่าคุณอุ๊งอิ๊งค์ไม่ใช่ลูกคุณทักษิณ มองว่าเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากเข้ามาทำการเมือง ถ้ามองในภาพนี้คุณจะเห็นว่า เห้ย! มันบริสุทธิ์นะ เขามีสิทธิ”
ส่วนตัวโด่งคิดว่า การที่คุณอุ๊งอิ๊งค์มาอยู่จุดนี้ในพรรคนี้ ไม่ใช่ว่าอยากเข้ามาก็เข้ามา จากประสบการณ์ที่เคยทำงานในพรรค รู้ดีว่าทุกเรื่องในพรรคคุณยิ่งลักษณ์หรือคุณทักษิณสั่งอะไรไม่ได้
“ในพรรคมีบอร์ด มีคระกรรมการ มีอะไรที่จะเห็นแย้ง เห็นคัดเห็นค้านเสมอ กรณีคุณอุ๊งอิ๊งค์ถ้าพรรคไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้มายืนตรงนี้หรอก เพราะฉะนั้นมันเป็นความเหมาะสม เป็นความต้องการที่ ไม่ใช่ของคุณทักษิณคนเดียว มันเป็นความต้องการของคนในพรรคด้วย”
“เป้าหมายแรกของเราคือโค่นประยุทธ์ เราอย่าเพิ่งคิดถึงประชาธิปไตยเต็มใบ ตอนนี้เราต้องถอนไอ้พิษเผด็จการอันเก่านี้ออกก่อน ก่อนที่จะปลูกต้นใหม่ลงไป” โด่งบอกถึงเป้าหมายทางการเมืองของตัวเอง
“เพื่อไทยต้องแลนด์สไลด์” โด่งบอกถ้าพรรคการเมืองใหม่อย่างพรรคเพื่อไทยสามารถชนะเลือกตั้งได้จำนวน ส.ส. ในสภาฯ เกินครึ่ง เพื่อเอาชชนะเสียง ส.ว. 250 เสียง ที่ฝ่ายประยุทธ์แต่งตั้งขึ้นมาสืบทอดอำนาจ
“ถ้าเราแลนด์สไลด์เกินครึ่ง เราจะถืออำนาจนิติบัญญัติแล้ว เพราะเมื่อถืออำนาจนิติบัญญัติ เดี๋ยวทุกอย่างมันจะตามมาเอง ตามครรลองของการเมือง”
ส่วนที่ถามว่า ทำไมต้องเลือกเพื่อไทย ก็เขาเป็นพรรคใหญ่สุด ต้องปักธงแบบนี้ก่อน ไม่งั้นจะเกิดการหารคะแนนกันเองระหว่างพรรคฝ่ายประชาธิปไตย
“เมื่อหารคะแนนกันเอง คนที่จะได้ไม่ใช่เรา หรือพรรคเพื่อนเรา ไม่ใช่ พรรคที่ได้ประโยชน์เนี่ยคือฝั่งนายประยุทธ์”
ทุกอย่างอยู่ในกำมือสมาชิกเพื่อไทย ครอบครัวเพื่อไทยทุกคน ขอให้คนที่เคยเลือกพรคคเพื่อไทยเมื่อปี 2554 จนสามารถชนะได้ตั้งรัฐบาลมี ส.ส. มากถึง 260 ส.ส. ในสภาฯ
“เรื่องแลนด์สไลด์มันทำได้ง่ายมาก เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้าบัตร 2 ใบเหมือนปี 2554 ทุกอย่าง ทุกอย่างเหมือนปี 2554 เลย เพียงแต่ว่าเราทำแบบปี 2554 อีกครั้ง พูดง่ายๆ ว่าคนคนเสื้อแดงทุกคนใครเคยกาเพื่อไทย ใครเคยกาแบบไหนปี 2554 แค่นั้นเองแลนด์สไลด์มาทันที” โด่งกล่าว