คนในแวดวงมายาการมีภาพลักษณ์ดีเชื่อว่าจะทำให้มีชัยไปกว่าครึ่ง แต่บางครั้งก็ไม่ควรตัดสินคนเพียงแค่เปลือกนอก หลายคนมีความสามารถเกรดเอ ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าหน้าผมมอซอ อย่างเช่นผู้บ่าวไทบ้านคนนี้ "โจ้ ช็อคใจ" จิรทีปต์ แสนโคตร์ ผู้กำกับเอ็มวีอินดี้ ที่กำลังเป็นที่นิยมเสมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง
ผลงานของเขามีส่วนช่วยหนุนให้บทเพลงของศิลปินอินดี้อีสาน ปฏิวัติวงการเอ็มวีด้วยค่าจ้างเพียงแค่หลักหมื่น แต่สร้างสรรค์ผลงานเรียกยอดวิวทะลุหลัก 100 ล้านวิว ในยูทูบ แจ้งเกิดเป็นศิลปินมีชื่อเสียง เดินสายคอนเสิร์ตรับทรัพย์นับกันแทบไม่ทัน เด่นๆ เลย คือเพลง "ห่อหมกฮวกไปฝากป้า" ตัดสายสะดือให้ "เต๊ะ ตระกูลตอ" แจ้งเกิด ก่อนเป็นนักร้องหนุ่มสุดฮอต และหนุนให้ "ลำเพลิน วงศกร" มีเรตติ้งพุ่งต่อเนื่อง
นอกจากเพลงห่อหมกฮวกไปฝากป้า เพลงลูกทุ่งอีสานอินดี้ฮอตฮิต ที่มียอดวิวในยูทูบทะลุหลักหนึ่งล้านไปจนถึงร้อยล้านวิว ครองใจโจ๋หน้าฮ้าน (หน้าเวที) ส่วนใหญ่มากจากความคิดสร้างสรรค์ และการกำกับของเขาแทบทั้งสิ้น อาทิ รำคาญกะบอกกันเด้อ, จากใจแฟนเก่า, ผู้บ่าวเก่า, สิงึดติ, ผู้สาวเก่า, อย่าเว้าดัง, หมาวัด, ตัวจริงข้างใจ, อยากได้น้อง, มื้อสันวันเจ็บ, สืบพันธุ์, รุงรังชีวิต, ไปต่อหรือพอส่ำนี้, จื่อแหน่ใจ, ผู้สาวบึงกาฬ, เอานำอ้ายบ่, ย้อนว่าฮัก (อีหน้าโง่), คนที่รอ, เสียตัวแลกใจ, บ่โรแมนติก, รักปลอม, โสดวนไป, กุดจี่กับขี้ควาย, คนนั่งนิ่งๆ ถูกทิ้งแน่ๆ, ฟ้อนอ้อนสวรรค์, ขี้ค้านเจ็บ ฯลฯ
จากหนุ่มไทบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่มีความหลงใหลการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ในรูปแบบของมิวสิกวิดีโอเพลง เก็บเกี่ยวประสบการณ์แบบครูพักลักจำ นำมาทำงานจนเป็นที่ยอมรับของค่ายเพลง และศิลปินอินดี้อีสาน ยกนิ้วชื่นชมคุณภาพเยี่ยมในราคาสุดประหยัด ก่อนร่วมกับ "พิสิทธิ์ อาจผักปัง" อดีตคนเบื้องหลังของค่ายอาร์สยาม เปิด JP PRODUCTION HOUSE มีฐานบัญชาการอยู่ที่ จ.ขอนแก่น รองรับงานไหลมาเทมามากกว่า 80-100 ชิ้นต่อปี
“ผมเรียนจบปริญญาตรี รัฐประศาสนศาสตร์ ม.ราชภัฏเลย ไม่เกี่ยวกับด้านนี้เลย ที่มาทำงานนี้มาถึงจุดนี้ได้ เกิดจากใจรักล้วนๆ เรียนรู้ในกูเกิล ในยูทูบ เริ่มจากการจับกลุ่มทำเพลงกันกับ อาจารย์จักษ์ เมืองสาเกตุ ผมก็รับหน้าที่ทำกราฟฟิก ถ่ายภาพนิ่ง ให้กับคนมีตามฝันอยากเป็นศิลปิน มีโอกาสได้ทำงานใกล้ชิดกับผู้คร่ำหวอดด้านนี้ ก็ดูเขาจำเขา ประมาณครูพักลักจำมาครับ โดยเฉพาะ อาจารย์โชคชัย ศิลารักษ์ คนนี้ผมจำเทคนิคการทำงานของท่านมาเยอะเลย”
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่ายเพลง และศิลปินอินดี้อีสานเรียกใช้บริการมากขึ้นต่อเนื่อง ผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรง เชื่อว่า น่าจะมาจากวิธีการคิดงานที่เน้นมุมมองใหม่ๆ ในสไตล์อินดี้ที่มีความเป็นกันเอง และให้สมองทำงานมากกว่าปาก สร้างคุณค่าผ่านงานศิลป์ และยอมเป็นผู้ให้ก่อนได้รับ ด้วยการไปถ่ายทำให้กับศิลปินที่มีงบน้อยแบบฟรีๆ เมื่อศิลปินเหล่านั้นประสบความสำเร็จ กลับมาตอบแทนน้ำใจตนด้วยการว่าจ้างถ่ายทำผลงานต่อเนื่อง
"วิธีการคิดงาน เราเริ่มจากการฟังเพลง และแบ่งกันคิดว่าจะทำเอ็มวีไปทิศทางไหน ไม่ปิดกั้นความคิดคนทำงาน มีอะไรเอาออกมาแชร์กัน หาความเป็นไปได้ หาบทสรุปที่ลงตัวร่วมกัน ส่วนการทำงานของผม ผมคิดว่าใจแลกใจสำคัญ น้องๆ บางคนไม่มีเงินหรืองบในการทำงานมาก อยากให้ช่วยถ่ายให้ก่อนผมก็ไปช่วย ช่วยแบบฟรีๆ เลยไม่คิดค่าจ้าง คิดว่าถ้าเราสนับสนุนให้เขาเกิดก่อนได้ก็สนับสนุนไปก่อน เมื่อเขาเกิดได้เราวันข้างหน้าพวกเขาก็จะกลับมาเป็นลูกค้าเราเอง ทำให้เรามีลูกค้าเพิ่มโดยอัตโนมัติ ซึ่งที่ผ่านมาพวกน้องๆ ก็กลับมาตอบแทนความมีน้ำใจที่เราให้เขาไปก่อนกันเกือบทุกคน"
อีกปัจจัยสำคัญคือสภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง ทำให้ค่ายเพลง และศิลปินหันมาใช้บริการกองถ่ายทำที่มีบุคลากรน้อยแต่ทำงานได้ครอบคลุม เพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ได้ผลงานที่มีคุณภาพเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับการไปจ้างกองถ่ายขนาดใหญ่ที่มีราคาค่อนข้างสูง
“ด้วยเศรษฐกิจทุกวันนี้ เศรษฐกิจไม่ค่อยดีแล้วก็การแข่งขันก็เยอะ แล้วด้วยโปรดักชันของเรามันก็สมเหตุสมผล บางทีค่ายใหญ่ก็ไม่อยากทุ่มทุนเยอะๆ มหาศาลที่จะทำงานชิ้นหนึ่งออกมา เขาก็มองทีมที่มันอาจจะมีคุณภาพ แต่ว่าได้เกรดคล้ายๆ กัน เขาก็เลยมาใช้บริการ ตอนนี้ก็ทำเกือบทุกค่ายแล้วครับ แกรมมี่ฯ อาร์สยาม ท็อปไลน์ฯ อินดี้ทั่วไปก็ไม่ต้องพูดถึง เยอะมากครับ ด้วยเทคโนโลยีทุกวันนี้ เด็กมีกล้องก็อยากทำงาน แล้วก็ทุกวันนี้กองใหญ่ก็จะเริ่มไม่ค่อยเห็นคนเยอะแล้ว เพราะว่างบประมาณ ทุนเยอะ คนเยอะ ค่าใช้จ่ายนั่นนู่นนี่เยอะ ความสะดวกสบายในกองเล็ก หรือที่ผมเรียกว่ากองโจร ไปกันแค่ 4-5 คน ช่วยกันแบก โฟมแผ่นนึง รีเฟลกอะไรพวกนี้ ไฟแอลอีดี ผมก็ว่างานมันทำให้สะดวกขึ้น รวดเร็ว และก็เคลื่อนย้ายง่าย
เด็กทุกวันนี้มีกล้องก็มาจับทำ แต่ก็ต้องศึกษากันอีกนิดนึง ว่าจะไปแนวทางไหน ไม่ใช่มีกล้องแล้วก็อยากทำ ตอนนี้มันแข่งขันกันเรื่องตัดราคา ด้วยทุนของกองถ่ายที่ใหญ่ แล้วก็ทุกวันนี้ค่าบุคลากรหรือทีมงานเราสามารถทำได้เกือบทุกอย่าง แม้แต่ แอคติ้งโค้ช บรีฟบท หาโลเคชั่น ประสานงาน จัดไฟ แบกของ เป็นทั้งตากล้อง และตัดต่อ มันก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายใยการทำงานเราลงไป บุคลากรเราก็จะน้อยลง แต่เราจะใช้แรงงานหนักขึ้น แต่มันก็เคลื่อนไหวได้เร็ว ในการย้ายโลเคชั่นถ่ายทำ และถ้าคนเรามีความคิดแนวเดียวกัน มันก็จะทำงานง่ายขึ้น”
ส่วนสไตล์การแต่งตัวที่มองเผินๆ คล้ายคนบ้ามากกว่า เป็นผู้กำกับและผู้บริหารโปรดักชันเฮ้าส์ จนบางครั้งก็มีคนเรียกว่า 'ผู้กำกับอินดี้ผีบ้า' หนุ่มลูกข้าวเหนียวบอกว่า ความจริงแล้วก็อยากแต่งตัวทำงานดีๆ เหมือนคนปกติทั่วไป แต่เนื่องจากเป็นคนขี้ร้อนใส่ได้ไม่นานเดี๋ยวก็ถอด ที่ผ่านมาได้ยินคนเม้าท์บ่อยๆ ว่า บ้าหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ส่วนตัวคิดว่าการทำงานควรให้ความสำคัญกับการใช้สมองมากกว่าใช้ปาก
“ตอนแรกก็มีพวกคนดราม่าอยู่ เฮ้ยมึงเป็นบ้าเปล่า ไปแก้ผ้า ถอดรองเท้า อะไรของมึงเนี่ย ไปปีนต้นไม้ ด้วยตัวตนไม่น่าเป็นผู้กำกับ ไม่น่าเป็นตากล้อง ไม่น่าเป็นพวกนี้นะ สิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานก็คือ ผมอยากแค่ใช้สมอง แล้วก็เอาผลงานมาวัดกัน ใช้สมองให้เยอะ ไม่ต้องใช้ปากพูด เอาจริงๆ เลยนะ คือผมเป็นคนขี้ร้อนเลยชอบถอดเสื้อ บางคนมองว่าเป็นผีบ้า ผมก็รู้ แต่การทำงานเต็มที่ทุกงาน สนุกสนานม่วนซื่นโฮแซว กางเกงขาดที่ใส่ประจำ เพราะว่ามันมีคุณค่าทางใจ มันเป็นกางเกงตัวแรกตัวเก่งที่ผมใส่ทำงานตั้งแต่แรก ตอนแรกก็ไม่ขาดหรอก แต่ใส่บุกป่าฝ่าดงโดนกิ่งไม้เกี่ยวบ้าง ปืนขึ้นที่สูงลื่นไถลจนฉีกออกจากกันบ้าง มันเลยขาดรุ่งริ่งอย่างที่เห็น จะทิ้งก็เสียดาย เก็บไว้ใส่ลุยงาน ใส่แล้วเตือนเราว่าเราเริ่มต้นมาอย่างไร เสื้อผ้าดีๆ ก็มีใส่ และผมก็อยากใส่นะ แต่อย่างที่บอกว่าผมเป็นคนขี้ร้อน ใส่แป๊บเดียวก็ถอด ยกเว้นทำงานหน้าหนาวไม่ถอดเสื้อทำงาน ก็จะเห็นใส่เสื้อผ้าดีหน่อย"
ผู้กำกับที่กำลังเป็นขวัญใจศิลปินอินดี้อีสาน เปิดใจทิ้งท้ายว่า จากคนสร้างงานตัวเล็กๆ ในบ้านนอก รู้สึกดีใจที่ตามความฝันจนมาถึงจุดที่เริ่มเป็นที่ยอมรับในวงการเพลงอย่างกว้างขวาง ทำให้มีความคิดอยากทำให้ภาคอีสานเป็นแลนด์มาร์คของการทำโปรดักชัน สร้างงานสร้างเงินให้กับผู้คนโดยไม่ต้องดิ้นเข้ามาแออัดกันอยู่ในกรุงเทพฯ ได้อยู่กับครอบครัว อยู่กับท้องทุ่ง ไม่ต้องรู้สึกรุงรังกับชีวิต
“ทุกวันนี้โดยศักยภาพของคนอีสานหรือคนบ้านนอกกับคนในเมือง ผมว่าไม่ต่างกันนะครับ ต่างกันแค่สถานที่แค่นั้น ทุกวันนี้เด็กจับกล้องมา หยิบกล้องขึ้นมาก็ถ่ายรูป เหลือแค่การเรียนรู้และถาม โดยศักยภาพของคนอีสานผมว่า มรศักยภาพทัดเทียมหมด ทุกคนมันทัดเทียมกันอยู่แล้วครับ อยู่ที่สมองและการคิดงานของเรา ในฐานะผมเป็นคนอีสาน ผมอยากทำอีสานเป็นแลนด์มาร์ก ทำโปรดักชั่น ผมอยากจะทำมีเช่าไฟ เช่าอะไร เพื่อกองถ่าย เพราะทุกวันนี้ต้องไปดิวไฟดิวกล้องอยู่ที่กรุงเทพอย่างเดียว เพราะในภาคอีสานยังไม่มีที่ให้เช่าหรือให้ความรู้ ด้านไฟ แสง กล้อง หรือเช่าวิดีโอเพื่อทำงานโปรดักชัน ถ้ามีโอกาส มีเงินก็จะทำความฝันตรงนี้ ค่าใช้จ่ายจะลดลง ไม่ต้องเสียค่าคิว คือสมมติจะถ่ายงานพรุ่งนี้ แต่ต้องมาคืนนี้ก็จะเสียไปครึ่งคิว ถ้ามีอยู่ในอีสาน ค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็จะลดลง โปรดักชันก็จะทำงานง่ายขึ้น ศักยภาพของภาพหรืออะไรมันอาจจะดีขึ้นกว่าเดิม“