วันที่ 1 มิ.ย. 2565 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เรื่องด่วนพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ สมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ก่อนเริ่มอภิปรายได้พูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ก่อนหน้านี้ระบุว่า ตนตั้งรับไม่ทัน ไม่รู้ว่าเมื่อช่วงเช้าท่านอารมณ์เสียมาจากไหน แล้วมาใส่ในที่ประชุมสภาฯฯ
“ก็ดีครับ อารมณ์ท่านเป็นอย่างไร ก็ว่ามาอย่างนั้น แต่พวกเราไม่ใช่ที่รองรับอารมณ์นายกฯ ท่านต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน แล้วท่านก็มาบ่นว่าขอความร่วมมือจากใครก็ไม่ได้ พวกเราทำงานได้ทั้งนั้น อยู่ที่จะรู้จักให้เกียรติกันหรือไม่ เมื่อสักครู่ท่านนายกฯ ก็ปรับอารมณ์อีก ผมก็ตามไม่ทันเหมือนกันนะครับ เดี๋ยวอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย มันยังไงไม่รู้ ท่านไปปรับเถอะครับ” สมคิด กล่าว
จากนั้น สมคิด อภิปรายในประเด็นงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ปี 2566 ซึ่งมองว่าได้รับงบเป็นจำนวนมากเป็นพิเศษมาตั้งแต่ปี 2562 จนในปีนี้งบประมาณกระทรวงกลาโหมลดลงประมาณ 1.97 ล้านบาท แต่แม้จะลดงบลงมาให้เห็น แต่ก็ยังติด 4 อันดับแรกของกระทรวงที่ได้รับงบสูงสุด ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ลดงบหรือไม่ แต่ต้องทำกรอบงบประมาณให้อยู่ภายใต้กฏหมาย ทุกวันนี้สงครามขนาดใหญ่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในภูมิภาคของเรา ถึงมีก็เป็นสงครามตัวแทน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมใช้ทหารไปทำทุกเรื่อง เห็นได้จากการตั้งเป้าหมายถึงการสนับสนุนการพัฒนาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตั้งวงเงินปี 2566 รวม 716.6973 ล้านบาท ทั้งยังมีงบทุ่มให้กับกองทัพเรือ โดยอ้างถึงร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ว่าเป็นประตูทางยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ และที่กองทัพจะเข้าไปสร้างพื้นที่เมืองอัจริยะ นี่เป็นภารกิจหลักของกระทรวงกลาโหมหรือไม่ ตนมองว่าไม่ถูกที่ถูกทาง เหตุใดทหารจึงไม่เป็นหน่วยสนับสนุน แต่ต้องเป็นพระเอกทุกเรื่องหรือ
กระทรวงกลาโหม ยังระบุถึงเป้าหมายของกองทัพมีความพร้อมในการเผชิญภัยคุกคามทุกรูปแบบ ตั้งวงเงิน 7.8 หมื่นล้านบาท ตนมองว่าภัยคุกคามปัจจุบันนี้ มีแต่คุกคามกันเอง จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพไปรบกับใคร โดยโครงการเสริมสร้างยุทโธปกรณ์ กองทัพบกมีงบรวม 5.12 พันล้านบาท กองทัพเรือมี 3.5 พันล้านบาท และกองทัพอากาศ 3.2 พันล้านบาท แม้กระทั่งกองบัญชาการกองทัพไทย ก็มีราว 4 ร้อยล้าน วันนี้กองทัพจำเป็นต้องปรับบริบทใหม่ ตนเชื่อว่ามีนายทหารคนรุ่นใหม่มากมายที่อยากปรับเปลี่ยนกองทัพให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน
“งบที่จะไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ผมไม่ได้บอกว่ากองทัพควรหรือไม่ควรซื้อ แต่วันนี้จัดลำดับความสำคัญได้ไหม ประชาชนกำลังลำบาก กระทรวงสาธารณสุขให้ไปผมยังไม่ว่าเลย จะให้ก็โอเค ในเมื่อเขาทำงานเกี่ยวกับโควิด-19 เอาไปแถมให้เขาก็ได้ เราหยุดก่อนได้ไหม จะซื้อปืนสัก 10 กระบอก เอาสัก 2 กระบอกก่อนได้ไหม หรืองดก่อน ผมไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งงบประมาณแบบนี้ และไม่ต้องไปทำมาใหม่ ไม่ต้องเอาเข้ามาอีก จัดใหม่เลย” สมคิด กล่าว
นอกจากนี้ สมคิด ยังกล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ พาดพิงโครงการจำนำข้าว ที่ต้องใช้หนี้ 9 แสนกว่าล้าน โดยตั้งคำถามว่าจำตัวเลขผิดหรือจงใจพูด ไม่ใช่ความจริง เนื่องจากโครงการจำนำข้าวมีกรอบวงเงิน 5 แสนล้าน ตนมีหลักฐานของวงเงินในหนังสือของกระทรวงการคลัง ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อปี 2559 แต่ พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะไปบวกกับตัวเลขในโครงการเกษตรทั้งหมดตั้งแต่สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แล้ว ไม่ควรตีกินกันเช่นนี้
“จริงๆ แล้ว วันนี้รัฐบาลทำโครงการประกันราคา พวกผมไม่ได้ว่าเลย จะได้มากได้น้อยอย่างไร วันนี้นายกฯ ที่บอกใช้หนี้โครงการจำนำข้าว 7 แสนล้าน ลืมคิดหนี้ตัวเองหรือเปล่า ท่านจ่ายไปราวๆ 2.5 แสนบาท ขณะเดียวกันโครงการจำนำข้าว ท่านก็จ่าย 2.5 แสนบาท เรื่องนี้ปิดบังไม่มิด เพราะ ธ.ก.ส. เสนองบดุล ท่านมาพูด ท่านอาจจะตั้งใจหรือไม่ ไม่รู้ แต่ถ้าบอกหนี้ 9 แสนล้าน ท่านโกหกกลางสภา” สมคิด กล่าว