วันที่ 21 ก.ค. 2565 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 13 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ข้อกล่าวหาปล่อยปละละเลยให้เกิดเครือข่ายทุจริตในกองทัพอย่างกว้างขวาง สร้างความเสื่อมเสียพระเกียรติยศในโครงการเฉลิมพระเกียรติ และมีจิตสำนึกเผด็จการ สันดานทรราช หลังรัฐประหาร ยังจงใจบ่อนทำลายประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง
อมรัตน์ อ้างอิงแฟนเพจเฟซบุ๊ก Catdumb รายงานว่า พระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประดิษฐานแทนที่อนุสาวรีย์พระยาพหลฯ ในค่ายภูมิพล ศูนย์การทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี งบประมาณโครงการราว 60 ล้านบาท และในเอกสารข่าวกองทัพบก ระบุว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้พระราชทานพระบรมราชานุสาวรีย์ดังกล่าวให้แก่กองทัพบก ซึ่งดำเนินการนี้อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 หลังเปลี่ยนชื่อค่ายจาก ค่ายพหลโยธิน มาเป็น ค่ายภูมิพล 29 ธ.ค.2562
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของกระทรวงดีอีเอส ได้ชี้แจงว่าข่าวที่เผยแพร่นั้นเป็นข่าวบิดเบือน โดยงบประมาณดังกล่าวเป็นเงินบริจาค ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน แต่เมื่อสืบค้นแล้ว กลับไม่พบหลักฐานการบริจาคใด และไม่มีการประชาสัมพันธ์ ขณะที่งบการเงินของกองทัพบก มีรายได้การบริจาคเพียง 2-3 ล้านบาท ยังห่างไกลจากงบประมาณ 60 ล้านบาทมากมาย อย่างไรก็ตาม ได้พบเอกสารจัดซื้อจัดจ้างวงเงิน 59.99 ล้านบาท ได้มาจากเงินเพิ่มเติมระหว่างปีงบประมาณ 2564 แปลว่ากองทัพบกนำข่าวปลอมมาเผยแพร่หรือไม่
“หากเป็นเงินบริจาคจริงๆ ทำไมไม่ทำให้ตรวจสอบได้ ให้โปร่งใส ไม่นำมาระบุไว้ในงบการเงิน จะทราบได้อย่างไรว่าวัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่งหรือไม่ เอาไปเก็บใส่ปี๊บไว้ที่ไหน หรือเอาไปใส่บัญชีส่วนตัวของแม่ทัพนายกองคนไหน” อมรัตน์ กล่าว
เมื่อลงพื้นที่ไปยัง จ.ลพบุรี จึงได้ทราบว่ามีการแทนที่ด้วยพระบรมราชานุสาวรีย์ ตั้งแต่ 29 ธ.ค. 2562 นอกจากนั้นยังได้รื้อถอนอนุสาวรีย์ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่อยู่ไม่ไกลกันมากออกไปด้วย การอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์มาประดิษฐานมายัง จ.ลพบุรี เป็นเรื่องมงคล แต่เหตุใดจึงต้องรื้ออนุสาวรีย์ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะมาหลาย 10 ปี ออกไปด้วย ชาวบ้านบางคนบอกว่า ยังไม่ทันได้แก้บนเลย หากจะสร้างใหม่ไม่มีใครว่า แต่อย่ามารื้อสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ
“สำหรับพี่น้องทหาร พระยาพหลฯ และ จอมพล ป. เป็นที่เคารพนับถือ ทั้งสองท่านเป็นผู้นำกองทัพที่สง่างาม ทำให้กองทัพมีเกียรติภูมิ มีศักดิ์ศรี และยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เปลี่ยนพวกเราทั้งหลายจากไพร่ทาสมาเป็นพลเมือง”
โครงการรื้อถอนนั้นตั้งงบไว้เพียง 1.2 ล้านบาท แต่กองทัพบกได้มีการประกาศผู้ชนะการเสนอราคาโครงการจัดตั้งซุ้มเฉลิมพระเกียรติ คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภูวเณศ เมื่อ 23 เม.ย. 2564 แต่กลับมีรายงานข่าวว่า ในวันที่ 7 ม.ค. 2563 พบว่าได้มีการติดตั้งซุ้มเฉลิมพระเกียรติ รัชกาลที่ 9 แล้ว ตั้งแต่ก่อนเริ่มกระบวนการจัดจ้างกว่า 15 เดือน เช่นเดียวกับภาพถ่ายทางดาวเทียมก็ยืนยันเช่นนั้น เหตุใดกองทัพบกจึงมีการล็อกประมูลผู้รับเหมาล่วงหน้านานขนาดนี้
เช่นเดียวกับกระบวนการก่อสร้าง ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนการเสนอราคากลาง และการลงนามในสัญญาถึง 4 เดือน ขณะที่เอกสารข่าวของกองทัพบก ได้สารภาพไว้เองว่าดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2563 เท่ากับว่ากองทัพบกเผยแพร่ข่าวเท็จ ซึ่งหลอกได้แค่ลิงใน จ.ลพบุรี เท่านั้น เหตุใดจึงปล่อยให้มีการทุจริตเอื้อประโยชน์พวกพ้อง แม้กระทั่งโครงการที่อ้างว่าทำไปเพื่อความสมพระเกียรติ และระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ รักชาติกันจนน้ำลายไหลขนาดนี้เชียวหรือ
เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันก็เกิดขึ้นในการรับเหมาก่อสร้างของกองทัพเรือเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุว่าเหล่าทัพไทยนั้นมีกระบวนการต่างจากที่อื่น เพราะได้ล็อกตัวผู้รับเหมาโครงการไว้ล่วงหน้าแล้ว และแบ่งงานกันว่าใครจะรับโครงการใด ทั้งยังมีการจ่ายน้ำร้อนน้ำชาไปตามระดับชั้น ด้วยระบอบอำนาจนิยม คงไม่มีปัญหา นอกจากนี้ ห้างหุ้นส่วน ไอยเรศ-เบญจมาศ ยังมีประวัติที่มองได้ว่าเป็นผู้รับเหมาเจ้าประจำของกระทรวงกลาโหม รับงานปีละหลายพันล้าน และยังเสนอราคาคู่เทียบเดิมๆ เกือบเท่าราคากลาง สามารถเห็นได้ว่ามีการฮั้วประมูล
“ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายกันจนเคยชิน กินกันมูมมามจนเคยชิน จะให้ดิฉันเรียกว่ากองทัพหรือกองโจรดี ตกลงแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี หรือหัวหน้ากองโจรกันแน่ ดิฉันไม่ได้หมายถึงกองทัพทั่วไป กองทัพที่มีทหารมืออาชีพ มีเกียรติศักดิ์ศรี ดิฉันยกย่อง ดิฉันหมายถึงกองทัพในยุคหลังการรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์”
“โครงการพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า และหอประชุมกองทัพบกใหม่ ที่จริงแล้วเป็นโครงการมีดำริจะสร้างตั้งแต่ปี 2555 สมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ยังไม่ทันได้ทำให้เป็นเรื่องเป็นราว กลับถูกผู้ใต้บังคับบัญชาทำรัฐประหารแย่งอำนาจเสียก่อน ต่อมาคงเห็นว่างานนายเก่าเข้าท่าดี จึงเอามาปัดฝุ่นทำใหม่ ไม่ว่ากัน แต่ก็สมชื่อ ไปเปิดพจนานุกรมดูแล้ว คำว่า ตู่ หมายถึง กล่าวอ้าง หรือทึกทักเอาของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง”
ทั้งนี้ สำนึกเผด็จการของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังสะท้อนให้เห็นผ่านความพยายามรื้อถอนและเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์ของการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย และมรดกของคณะราษฎรหลายต่อหลายครั้ง เช่นกรณีล่าสุดที่มีการเปลี่ยนชื่อสะพานพิบูลสงคราม เป็นสะพานท่าราบ ทั้งที่บริเวณนั้นแวดล้อมไปด้วยค่ายทหาร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อวานนี้ (20 ก.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้ยกมือยิ้มร่า ยอมรับว่าตนเองเป็นผู้ก่อการรัฐประหารแต่เพียงผู้เดียง การล้อเล่นเรื่องนี้ถือว่าไร้กาละเทศะ
“ดิฉันมีสิ่งสุดท้ายที่อยากจะมอบให้ พล.อ.ประยุทธ์ คือกระจกบานนี้ เพราะท่านปิดช่องคอมเมนต์ในเพจเฟซบุ๊ก ประชาชนไม่สามารถสะท้อนความรู้สึกไปยังท่านได้ ดิฉันอยากบอกว่า เวลาท่านชี้หน้าใครว่าก่อความวุ่นวาย ความไม่สงบ ท่านมองที่กระจกบานนี้ เวลาท่านชี้หน้าใครว่า เขาไม่มีมารยาท ไม่รักชาติ มองที่กระจกบ้านนี้ เวลาท่านบอกว่าใครไม่อ่านประวัติศาสตร์ ท่านก็มองที่กระจกบานนี้ ทั้งหมดคือคนในกระจก” อมรัตน์ ทิ้งท้าย
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลุกชี้แจงครั้งแรก ตอบโต้ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายประเด็นว่าตนส่อรู้เห็นการทุจริตโครงการของรัฐ โดยช่วงแรก กล่าวว่า ที่ตนมาประชุมช้าเพราะไปกราบทำบุญสมเด็จพระสังฆราชฯ ซึ่งตนก็ขอแบ่งมอบให้ทุกคนเนื่องในช่วงเวลาอันเป็นมงคล แต่สุดแล้วแต่ใครจะรับได้รับไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ทำกรรมดีก็เป็นไปตามนั้น ทำไม่ดีก็แล้วแต่กรรมต่อไป ซึ่งตนพยายามทำดีที่สุด อาจไม่ดีในสายตาท่าน
ส่วนที่ฝ่ายค้านบอกชื่อตนมีความหมาย ตู่กับเตี้ย ความเหมือนกันไหม แต่ไปดูประโยชน์อะไรมากกว่า และที่ฝ่ายค้านบอกศึกษาประวัติศาสตร์ ก็ขอให้ศึกษาส่วนที่ดีไว้บ้างแล้วกัน สิ่งที่ทำก็ปรากฎแล้วว่าเกี่ยวข้องกับการก้าวล่วงสถาบันของชาติ ซึ่งตนรับไม่ได้อยู่แล้ว
จากนั้น อมรัตน์ ลุกขึ้นประท้วงว่า นายกฯได้กล่าวหาว่าตนก้าวล่วงสถาบัน ตรงไหน เพราะข้อหานี้ร้ายแรง อยู่ดีดีจะมาปากปากพล่อยว่าคนอื่นอย่างนี้ได้ไง อย่ามั่วๆ
ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะชี้แจงต่อว่า ท่านพูดมาทั้งหมดผมก็ฟังได้ ท่านก็ฟังของท่านบ้าง คือตนไม่ได้ว่าอะไรที่เกิดจริงเท่าไหร่ เพราะไปดูคดีต่างๆก็มีหลายคดีก็ไปเตรียมสู้คดีแล้วกันนะ
จากนั้นทำให้ ส.ส.อมรัตน์ ประท้วงอีกครั้งว่า นายกฯ พาดพิงอีกและของให้ถอนคำพูด เพราะมาตรา 112 ร้ายแรงเที่ยวมาป้ายให้ตนอย่างนี้ได้ไง ที่นำเด็กไปเข้าคุกและไม่ให้ประกัน ทำให้นายกฯ ตอบโต้ว่า ผมไม่ได้ป้าย และไม่ไปยุ่งอะไรกับกลไก พร้อมยืนยันว่าไม่ถอนคำพูด จน ชวน หลีกภัย ประธานสภา วินิจฉัยแบะให้นายกฯ ดำเนินการต่อ
โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวชี้แจงประเด็นโครงการก่อนตั้งฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ ที่ฝ่ายค้านอภิปราย ว่า การก่อสร้างที่ใช้งบกว่า 50 ล้านเป็นไปตามวัตถุประสงค์ และบริษัทผู้ก่อสร้างก็ประสงค์บริจาคสิ่งก่อสร้างที่แล้วเสร็จโดยไม่รับเงินที่ระบุในสัญญา และกรมยุทธโยธาการฯ ก็คืนเงินที่ไม่ได้มีการเบิกจ่าย ส่วน สตง.ก็ทราบข้อมูลแล้ว
ส่วนคดีคลองด่าน ตนให้ความสำคัญ ซึ่งก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ รวมถึงดูในเรื่องคำพิพากษาศาลซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนโดยตนไม่อาจไปก้างล่วง ขณะที่เรื่อง จีที 200 ที่ถูกหาว่าไม่ติดตาม โดยเรื่องนี้กระทรวงกลาโหมก็ดำเนินการ ซึ่งมีการดำเนินคดีเอกชน 13 คดีปัจจุบันสิ้นสุดแล้ว 5 คดี พร้อมย้ำว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาทั้งโลก เรื่องการขึ้นค่าไฟ นายกฯ ชี้แจงว่า แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่คือ ฝ่ายผลิตและสายส่ง คือ กฟผ. กฟภ. กฟน. ซึ่ง กฟผ.ต้องแบกรับหนี้สินกว่าแสนล้านเพราะต้องจัดหาพลังงานให้เพียงพอ ประกอบกับต้องดูค่าพลังงานในตลาดโรคและมีต้นทุนซี่งทุกอย่างขึ้นหมด ดังนั้นค่าไฟฟ้าที่ กฟผ.ต้องรับต้นทุน FT สูงขึ้นแต่ กฟผ.ไม่มีการปรับขึ้นมาเลย ประกอบกับแหล่งเอราวัณผลิตน้อย ค่าการแปรรูปขนส่งสูงขึ้น รวมถึงสถานการณ์ต่างๆในโลก ฉะนั้นต้องมาดูกันอีกทีว่าจะทำอย่างไรโดยประเมินจากต้นถึงปลายทาง ซึ่งไม่ง่ายโดยเราต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินต่อไปได้
นอกจากนี้ ยืนยันว่า ตนไม่มีการเอื้อรายใหญ่เกี่ยวกับเรื่องการทำเกษตร ซึ่งเขาก็ทำของเขาไป ส่วนที่ฝ่ายค้านบอกเราต้นทุนการผลิตสูง รัฐบาลก็พยายามแก้เพราะไม่เคยมีใครแก้มาก่อน ส่วนการตลาดภาณิชย์ก็จะดำเนินการ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า การที่ฝ่ายค้านพูดว่าสิ่งที่ตนทำเสียหายทั้งหมดก็ขอให้ดูต่อไป การพูดจาในสภา ผมคิดว่าควรเป็นวาระสร้างสรรค์บ้างไม่มากก็น้อย แต่ตนไม่หวังให้ท่านมาชมอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งต่างๆไม่ได้บอกว่า ผมทำดีที่สุด เก่งที่สุด เยี่ยมที่สุดไม่ใช่ ตนฟัง อะไรฟังได้ก็ฟังอะไรหังไม่ได้ก็ไม่ฟังเพราะไม่เกิดอะไรกับตน การโจมตีให้ร้ายตนก็เฉยๆไม่เคยไปรับแกท่านและไม่เคยไปก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรมทั้งสิ้น พร้อมย้ำว่าการแก้ปัญหาหลายประเทศ เชื่อว่าตนทำได้มากกว่าในการดูแลประชาชนแต่รายได้ก็อาจลดบ้าง ส่วนมองว่าใช้งบสูงมากและต้องกู้มาซึ่งเมื่อจำเป็นก็ต้องดู แต่เราก็มีทุนสำรองพอสมควร ซึ่งสถานการณ์วันนี้ตนจะบอกว่าต่างประเทศมองไทยอย่างไร ซึ่งมันแตกต่างกันมากที่คนไทยมองเรา ซี่วนี่เป็นสิ่งสำคัญการจะพูดอะไรที่เกี่ยวกับประเทศก็ต้องพิจารณาบ้าง
ช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า บางครั้งที่ถูกพูดโจมตีบางครั้งก็รับไม่ได้แต่ก็ต้องรับเพราะเป็นนายกฯ และถามว่ามีกี่คนในห้องที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน เพราะฉะนั้นตนมีประสบการณ์มากกว่า แต่พูดส่อเสียดสู้ไม่ได้หรอก