วันที่ 27 มี.ค. 2566 ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ และ อนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ไปที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อไต่สวนมูลฟ้อง คดีที่ ชูวิทย์ ฟ้อง สันธนะ ประยูรรัตน์ เป็นจำเลย ในข้อหา แจ้งความเท็จ สร้างหลักฐานเท็จ และ หมิ่นประมาท กรณีที่มีการแอบถ่ายภายในห้องน้ำโรงแรม เดอะเดวิส ว่ามีการมั่วสุมยาเสพติด และเปิดเกินเวลา ซึ่งเบื้องต้นตำรวจไม่พบความผิดตามที่จำเลยกล่าวอ้าง โดยวันนี้ จะมีการซักค้าน ชูวิทย์ และสืบพยานพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ
ในการนี้ ทั้งคู่ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม โดย ชูวิทย์ เปิดเผยว่า การใช้สื่อเป็นเครื่องมือ เมื่อมีอาชีพทนายก็ต้องใช้กฎหมาย เมื่อมีคนเดือดร้อน ถ้าไปคิดเงินเขาตอนแถลงข่าว 3 แสนบาท มันไม่มีโจทก์ ไม่มีจำเลย ตัวเองก็ไม่มีหลักฐาน นั่นแปลว่าคุณพูดฝ่ายเดียวหรือไม่ ตนไม่คิดว่าทนายความจะคิดเงินค่าแถลงข่าว ดังนั้นสมาคมทนายความหรือสื่อมวลชนควรจะพิจารณา
อีกทั้งการเป็นทนายความต้องใช้ความสามารถ ต้องใช้หลักฐาน ใช้พยานแต่ปรากฏว่าฝ่ายอีกฝ่ายใช้การแถลงข่าว นั่นไม่ใช่วิถีของทนายความ โดยอย่างยิ่งบอกว่าตัวเองเป็นทนายประชาชน ส่วนเงินบริจาคจำนวน 6 ล้านบาท ที่ทางโรงพยาบาลคืนมา อยากให้ติดตามว่าวันพรุ่งนี้จะเอาไปให้ใคร
ตอนนี้มีกระบวนการพยายามที่จะมาปิดปากตนเอง มีทั้งทนายความ พวกหิวแสง นักร้องเรียน ใครฟ้องมาตนก็จะฟ้องกลับ จะสู้ในทางกฎหมาย พร้อมสู้ทุกทาง เวลาสู้ก็จะไม่ค่อยเหมือนกัน ฝากไปบอกหมาลอบกัด พร้อมจะกัดตอบ ประกาศ “กูไม่กลัวมึง“
ด้าน ทนายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า กรณีที่ ทนายตั้ม ออกมาแถลงเรื่องการรับเงินสีเทากับสื่อนั้น เข้าข่ายหมิ่นประมาท ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ชูวิทย์ ได้โทรศัพท์มาขอร้องให้ตนเองทำคดีทนายตั้ม ได้มาปรึกษาว่าสิ่งที่ทนายตั้มโพสต์นั้นเข้าข่ายความผิดใดบ้าง จากการพิจารณาเบื้องต้น จะพิจารณา ใน 3 ประเด็น คือ
1.พฤติกรรมดังกล่าวจะความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาหรือไม่ จะต้องดูที่พฤติกรรม อย่าง ตอนนี้ ชูวิทย์ กำลังเปิดโปงขบวนการคอรัปชั่น และ ทุนจีนสีเทา แต่กลับถูกออกมาแฉ มองว่ามีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่ ทั้งที่ไม่มีประจักษ์พยาน เป็นเพียงแค่พยานที่กล่าวอ้างเท่านั้น และการที่ทนายตั้ม เอารูปที่ถ่ายแค่ถุงเงินมานั้น เป็นการแบล็คเมล์ แต่กลับไม่มีรูปชูวิทย์รับเงิน ส่วนจำนวนเงินที่บอกว่า 10 ล้านนั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าจำนวนเงินที่แท้จริงเท่าไหร่ อาจจะถูกดึงไประหว่างทาง แต่ยืนยันว่า มาถึงชูวิทย์เพียงแค่ 6 ล้าน ซึ่งตอนนั้น ชูวิทย์ ก็ปฏิเสธไปแล้วแต่ก็ไม่รับคืนจึงเอาไปทำบุญ
ส่วน ข้อ 2 พฤติกรรมของทนายตั้ม ผิดมรรยาททนายความ มีการแถลงข่าวที่คลาดเคลื่อน ไม่มีหลักฐาน แต่เป็นการยกข้อมูลขึ้นมาลอยๆ ซึ่ง ชูวิทย์ ไปแจ้งร้องสภาทนายความให้ตรวจสอบ
ส่วนข้อ 3 ทางทนายความ ได้พูดถึง กรณีที่ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ ผู้บริหาร ปปง. ที่ออกมา ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า การนำเงินของ ชูวิทย์ไปบริจาคอาจเข้าข่ายการฟอกเงิน ซึ่งตนมองว่า ไม่ควรให้สัมภาษณ์ในลักษณะชี้นำแบบนั้น ควรจะให้สัมภาษณ์ว่าอยู่ระหว่างการตรวจสอบหรือรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเข้าข่ายความผิด ม.157 และ ม.200
ทนายอนันต์ชัย ยังบอกอีกว่า หลังจากนี้จะไม่ให้ ชูวิทย์ พูดถึงกรณีทนายตั้มอีกแล้วกับสื่อมวลชน เพื่อจะได้ไม่เสียรูปคดี และขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามขบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ หาก ทนายตั้ม มีการพูดพาดพิง ก็จะฟ้องคดีละ 100 ล้านบาท พร้อมพูดว่า ใช้สติจะมีปัญญา ทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าทำในสิ่งที่ถูกใจ