ไม่พบผลการค้นหา
"ตำรวจ" ควานหาตัว "แหม่มโพธิ์ดำ" ฐานโพสต์ข้อมูลเท็จของ "นายบอย" กักตุนหน้ากากอนามัย ระบุ ปล่อยตัว "พันธ์ยศ" เพราะไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ส่วนคดีคืบหน้าแล้วร้อยละ 50 พร้อมรวบเครือข่ายหลายคน เผยยังไม่พบนักการเมืองเกี่ยวข้อง

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ศปอส. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจสอบสวนกลาง, นครบาลและตำรวจภูธร แถลงข่าวผลการปฏิบัติงานของ ศปอส. กรณี จับกุมเครือข่ายกับตัวหน้ากากอนามัยจำหน่ายในราคาเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีหลายคดีเกี่ยวเนื่องกัน 

โดยต้นทางเริ่มจากการ ถ่ายทอดสดเฟซบุ๊กของนายสรวีย์ ภู่รวีรัศวัชนี หรือ "บอย" นายหน้าที่ทำกำไรจากการหาลูกค้า ที่ถูกจับกุมตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ สืบสวนพบว่า รับซื้อหน้ากากอนามัย จำนวน 130,000 ชิ้น มาจากกลุ่มบุคคลรวมถึงจากบริษัทไทยเฮลท์ อินเตอร์เนชันแนล ที่เกี่ยวข้องกับนายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ ซึ่งถูกจับกุมล่าสุดนี้ โดยมีบริษัทแห่งหนึ่งผลิตกล่องให้นายพันธ์ยศ ระหว่างวันที่ 10 ก.พ. -​16 มี.ค. 2563 

โดยตามกฎหมายไทย เมื่อมีการบรรจุภัณฑ์ก็เข้าข่ายความผิดฐานเป็นผู้ผลิตด้วย แม้หน้ากากอนามัยส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ไม่ได้ผลิตเองก็ตาม ซึ่งคดีนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน มีความคืบหน้าประมาณร้อยละ 50 และอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี 

จากการสืบสวนความเกี่ยวพันธ์ของนายพันธ์ยศนั้น มีกระบวนการบรรจุโดยกลุ่มลูกค้าเกี่ยวข้อง นำสู่การจับกุม นายรัชกิต สุขวารี ซึ่งโอนเงินให้นายอานนวัฒน์ วรเมธชยางกูร กับพวกพร้อมขยายผลจับกุมเครือข่ายอีก 2 รายคือ น.ส.รุ่งภัสสรณ์ สืบสินนันทพร กับนายศุภกิตติ์ ชัยสิม โดยมีบุคคลที่ตำรวจไม่เปิดเผยชื่อโอนเงิน 1,300,000 บาท ซื้อหน้ากากอนามัยดังกล่าว เฉลี่ยในราคา 13 บาทต่อชิ้น เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2563 แต่สินค้าไม่ได้คุณภาพ จนนำสู่การจับกุมขบวนการนี้ โดยเบื้องต้นยังไม่พบว่ามีนักการเมืองเกี่ยวข้องกับดดีนี้แต่อย่างใด

พล.ต.ท. ปิยะ ย้ำว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการซ้ำเติมประชาชนในช่วงวิกฤตโดยในรอบ 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. -​ 8 เม.ย. 2563 ศปอส. ได้ร่วมกับหน่วยปฏิบัติการจับกุมผู้กระทำความผิดขายหน้ากากอนามัยเกินราคาและผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปแล้ว 328 ราย แบ่งเป็นหน้าร้าน 238 ราย ที่เหลือเป็นการขายทางออนไลน์ และสายข่าวแจ้งจับกุม โดยได้ของกลางเป็นหน้ากากอนามัยทั้งสิ้น 2,500,000 ชิ้น และยังมีเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ 2,764 เครื่อง, เจลแอลกอฮอลล์ 80,000 ลิตร, อุปกรณ์วัดไข้ 50,000 กว่าชิ้น รวมมูลค่า 71 ล้านบาทเศษ

นอกจากนี้ ทางตำรวจยังมีการ สืบสวน เพื่อระบุตัวว่าผู้ที่ใช้ชื่อ "เพจแหม่มโพธิ์ดำ" เป็นใคร เพราะมีการนำข้อมูลเท็จโพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก และมีผู้แจ้งความดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ขณะเดียวกัน ตำรวจท้องที่ในจังหวัดภูเก็ต กำลังดำเนินการสอบสวนหญิงสาวที่โพสต์ "เศษเงินหลังตู้เย็น 5,000 บาท" ว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายข้อใดบ้าง ทั้ง คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยเฉพาะตรวจสอบว่าการลงทะเบียนใช้ข้อมูลเท็จเพื่อรับเงินจากโครงการของรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งหากพบว่ามีความผิด จะมีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง