ไม่พบผลการค้นหา
พรรคประชาธิปัตย์ จัดสัมมนารวมพลังประชาธิปัตย์ภาคเหนือ ตั้งเป้าเลือกตั้งครั้งหน้า ได้ ส.ส ภาคเหนือ 20 เขต จาก 62 เขต จัดทีมอเวนเจอร์ส เขตละ 5 คน ทำงานร่วมกับ ส.ส. ในพื้นที่ ขอสมาชิกมุ่งทำเพื่อประโยชน์ประชาชน ไม่ใช่หวังแค่หาเสียงให้ตัวเอง เชื่อจะกลับมานั่งในใจประชาชนได้อีกครั้ง

พรรคประชาธิปัตย์ จัดสัมมนารวมพลังประชาธิปัตย์ภาคเหนือ โดยมีกรรมการบริหารพรรค อดีตผู้สมัคร ส.ส. ภาคเหนือ ประธานสาขาพรรค และกรรมการจังหวัด เข้าร่วมสัมมนาเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ร่วมกัน ซึ่งมี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานสภาที่ปรึกษาพรรค เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค กล่าวถึงการขับเคลื่อนยุทศาสตร์พรรค ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะต้องรวมใจเป็นหนึ่ง มุ่งทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ ไม่ใช่ทำงานเพื่อพรรค ต้องปรับกลไกการทำงานให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และจากนี้ไปประชาธิปัตย์จะต้องลงพื้นที่เข้าหาประชาชน ไม่ใช่ไปหาเสียงเพื่อตัวเอง โดยจะมีทีมอเวนเจอร์สของพรรคเขตละ 5 คน ประสานงานกับ ส.ส. โดยตั้งเป้าหมายการทำงานให้แล้วเสร็จเห็นผลภายใน 4 เดือน และการเลือกตั้งครั้งต่อไปตั้งเป้าได้ ส.ส. ภาคเหนือ 20 เขต จาก 62 เขต รวมไปถึงภาคกลางให้ได้ 30 เขต กทม.ทั้ง 30 เขต ภาคใต้ทั้ง 50 เขต พร้อมทั้งรักษาฐานเสียงเดิม เพิ่มคะแนนเสียงใหม่ ทั้งนี้ หากดำเนินการตามกลไกที่วางไว้ เชื่อว่าจะสามารถได้ ส.ส. เข้าไปทำงานในสภาได้ถึง 155 คน และมั่นใจพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมานั่งในใจประชาชนได้อีกครั้ง

ขณะที่นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคเป็นประธานคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจทันสมัย กล่าวถึง การเปิดสวิตช์ภาคเหนือกับทีมเศรษฐกิจทันสมัย ว่า ความทันสมัยไม่เกี่ยวกับอายุ ขอแค่ทุกคนเปิดรับ และเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ ก็จะสามารถนำมาสร้างประโยชน์ได้ ในการทำงานของทีมเศรษฐกิจพรรค จะเอาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เศรษฐกิจทันสมัย ไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ และ ส.ส. ในพื้นที่ต้องตั้งเป้าหมายเชิงคุณภาพ ต้องใส่ใจการทำงาน มุ่งพัฒนาพื้นที่ และช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชน ซึ่งจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับประชาชนได้ ปัจจุบันภาคเหนือมีคนจีนเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น ส.ส. ในพื้นที่จะดึงรายได้เข้าสู่ชุมชนอย่างไร ซึ่งส่วนตัวมองว่าจุดแข็งของภาคเหนือ คือ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และความเอื้ออาทรของคนในพื้นที่ ที่เป็นอัตลักษณ์ ดังนั้นต้องต่อยอดอัตลักษณ์ดังกล่าวด้วยการทำการท่องเที่ยวชุมชน พัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน พัฒนาสินค้าโอทอปชุมชน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนได้เป็นอย่างดี

DSC07384.jpg

ด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เน้นย้ำให้คนภายในพรรคประชาธิปัตย์เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะก่อนที่จะไปสู้กับใคร ต้องให้ทำให้ตัวเองเข้มแข็งและสร้างความเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ก่อน จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีพลัง ดังนั้น ส.ส. และผู้บริหารต้องเดินไปในทางเดียวกัน หลายเรื่องที่เกิดขึ้นก็ขอให้เป็นบทเรียน  วันนี้สิ่งที่จะทำให้ประชาธิปัตย์เข้มแข็งได้คือสาขาพรรค เพราะจุดแข็งของประชาธิปัตย์คือตัวแทนประชาชน ผ่านสาขาพรรค พร้อมย้ำทุกคนต้องกลับมาช่วยกันดูแลพรรคและเรียกศรัทธาจากประชาชนให้เร็วที่สุด

นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจุดขายของพรรคอนาคตใหม่ เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2538 และการที่พรรคอนาคตใหม่ชนะ เป็นเพราะมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนคือกลุ่มคนรุ่นใหม่เท่านั้น ที่พวกเขามองแค่สิ่งที่เกิดขึ้น 5 ปีย้อนหลัง ไม่ได้มองไปไกลถึงอดีตที่ผ่านมา และคนกลุ่มนี้ยังห่วงเรื่องอนาคตและเรื่องของตนเองเป็นหลัก ดังนั้นพรรคจะต้องสร้างแบรนด์ควบคู่กับการพัฒนาพื้นที่ โดยต้องกระจายข่าวให้เข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุดรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่คนเสพติดมือถือมากขึ้น และหาเลือดใหม่เข้ามาทำงานกับพรรค