การเมืองไทยกำลังกลับสู่โหมดสมรภูมิการเลือกตั้งทั่วไป แม้สัญญาณยุบสภาฯ จะยังไม่เกิดขึ้น แต่ห้วงเวลาคือโค้งสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูกาลหาเสียง
ณ วันนี้ในสนามการเมืองมีทั้งผู้เล่นหน้าเก่าหน้าใหม่ แต่เท่าที่ดูๆ ส่วนใหญ่อยู่โหมดหน้าเก่าในขวดใหม่ ทิ้งพรรคเดิมย้ายไปสังกัดบ้านหลังใหม่เพื่อหวังจะได้กลับเข้ามาเป็น ส.ส.ในสภาฯ
ทว่าการเลือกตั้งรอบนี้ นอกจากพรรคขนาดใหญ่ที่เป็นตัวเต็งอย่าง เพื่อไทย ก้าวไกล พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย
หนึ่งตัวเลือกใหม่ที่ถูกจับตาเป็นแหล่งรวมนักการเมืองเก่าๆ คือ 'พรรครวมไทยสร้างชาติ' โดยมีจุดขายคือ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ที่หวังจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องอีกสมัย
อีกหลังบริหารประเทศมา 8 ปี พร้อมขุนพลทีมงานข้างกายอีกเพียบ
หนึ่งในนั้น ‘สุชาติ ชมกลิ่ม’ อดีต ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ รมว.แรงงาน บุคคลผู้ถูกจับจ้องจะขึ้นเป็นบ้านใหญ่หลังใหม่เมืองชลบุรี และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้มากบารมีแห่งทิศบูรพา
“วอยซ์” พูดคุยกับ “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” ถึงเส้นทางที่เกินฝันจากเด็กบ้านๆ ลูกพ่อค้าแม่ค้าชนชั้นรากหญ้า สู่เส้นทางเดินบนถนนการเมืองท้องถิ่น ก้าวมาระดับชาติ จนวันนี้ได้เป็นรัฐมนตรี ทั้งที่เคยคิดเพียงเป็นผู้ใหญ่บ้านก็พอ และวันนี้ยังได้เป็นที่ไว้วางใจของผู้นำ เพื่อภารกิจพานายที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่ออีก 2 ปี
สุชาติ เกิด 15 ก.ค. พ.ศ. 2517 ปัจจุบันอายุ 48 ปี เป็นคนปีเสือ จึงมักตกแต่งสำนักงานฯ ที่ จ.ชลบุรีด้วยลาดลายพยัคฆ์ เป็นชาวหนองมน ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี ชีวิตครอบครัวพื้นเพไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง มีเพียงคุณย่าที่เป็นน้องสาวอดีตกำนันตำบลแสนสุขเท่านั้น
ชีวิตวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่นก็ใช้ชีวิตเหมือนคนหนุ่มไฟแรงทั่วไป ผ่านงานหลายอย่าง จับกังแบกน้ำตาล พนักงานธนาคาร เซลล์ขายบ้าน จนก้าวมาเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเริ่มพร้อมๆ กับชีวิตการเมืองเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน
สุชาติ เล่าให้ฟังว่า สมัยเด็กๆ จากที่มีความชื่นชอบการเมือง ขณะนั้นคิดเพียงแค่อยากเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่ด้วยเป็นคนรักพี่ รักน้อง รักเพื่อนฝูงมักช่วยเหลือพวกพ้องอยู่เป็นประจำ ทำให้วันหนึ่งได้รู้จักกัน 'กำนันเป๊าะ-สมชาย คุณปลื้ม' อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข มากขึ้น จากแต่เดิมรู้จักกันระหว่างตระกูลเท่านั้น ต่อมามีโอกาสคลุกคลีติดตามทีมงานกำนัน ผู้ใหญ่ในพื้นที่ และได้รับโอกาสเป็นสมาชิกเทศบาลเมือง (ส.ท.) แสนสุข ซึ่งถือเป็นการลงสนามการเมืองแรก ตอนอายุ 28 ปี ขณะที่งานหลักๆ ตอนนั้นคือการลงพื้นที่ดูแลประชาชนในตำบล
ส่วนโอกาสการเป็นรัฐมนตรี สุชาติ ยอมรับว่า ไม่เคยคิดฝันเลย
เส้นทางการเมือง สุชาติ เริ่มขยับขยายมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2550 ได้รับเลือกเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.จ.) ทีมงานในสังกัด 'วิทยา คุณปลื้ม' ลูกชายคนรองกำนันเป๊ะ ทำให้ชีวิตหลังจากนั้น ก็เริ่มคิดอยากเข้าสู่ถนนการเมืองใหญ่ ตั้งแต่นั้นก็พยายามลงพื้นที่หาเสียงทั้งในและต่างอำเภอ
กิจวัตรเช้าจรดค่ำใช้เวลาส่วนใหญ่ลงพื้นที่แทบจะไม่มีเวลาให้ครอบครัว จนปี พ.ศ. 2554 ทำได้สำเร็จได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ครั้งแรก พื้นที่เขต 1 ชลบุรี สังกัดพรรคพลังชล
ต่อมาปี 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รัฐประหารล้มรัฐบาลรักษาการ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำให้ตอนนั้น สุชาติ คิดหยุดเล่นการเมือง แล้วหันกลับไปทำธุรกิจเต็มตัว เนื่องจากอยากให้เวลาครอบครัวมากขึ้น เพราะตลอดระยะเวลาที่ทำการเมืองตั้งแต่ท้องถิ่น จนก้าวสู่การเป็น ส.ส.ครั้งแรก ชีวิตแทบจะไม่มีเวลาให้ภรรยาและลูกทั้ง 2 คน
ทำให้ช่วงนั้น เขาหันกลับไปทำธุรกิจและอยู่กับครอบครัวเต็มตัว ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ พอส่งลูกที่โรงเรียนก็ขับรถกับภรรยาไปดูแลธุรกิจอสังหาฯ ที่ชลบุรี เกือบทุกวันเป็นประจำอยู่หลายปี
ทว่าชีวิตของ สุชาติ ต้องหวนคืนสู่ถนนการเมืองอีกครั้ง ด้วยการชักชวนจาก 'สนธยา คุณปลื้ม' เพื่อหวังให้มาเสริมทัพพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) สู้ศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2562
ขณะนั้น สุชาติ ยังไม่รู้จักกับ 2 ผู้นำรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
'เสี่ยเฮ้ง' รมว.แรงงาน เล่าว่า ตอนนั้นลำบากใจมากกับการจะกลับเข้าสู่ถนนการเมืองอีกครั้ง แต่ก็ปรึกษาครอบครัวเพราะหวังอยากมาช่วยบ้านเกิด สุดท้ายก็ได้เดินต่อบนถนนการเมือง และได้รับเลือกเป็น ส.ส.เขต 1 ชลบุรี อีกครั้ง ในนามพรรคพลังประชารัฐ
สุชาติ เล่าว่า ช่วงเริ่มการเมืองกับพรรคพลังประชารัฐ แรกๆไม่มีบทบาทอะไรมากมาย แต่ด้วยความเป็นคนใจใหญ่ มีเพื่อนฝูงเยอะ มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน จึงได้รับความไว้วางใจจาก พล.อ.ประวิตร ให้ดำรงตำแหน่งประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ทำหน้าที่ดูแลควบคุมเสียง ส.ส.พรรคในสภาฯ
ส่วนการได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีแรงงาน สุชาติ เชื่อว่า มาจากกลุ่มเพื่อนนักการเมืองภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ให้การสนับสนุน ประกอบกับเหตุผลหลักสำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สนับสนุน จึงได้ทำหน้าที่นี้
“ผมเชื่อว่าท่าน (พล.อ.ประยุทธ์ - พล.อ.ประวิตร ) คิดว่าผมทำงานได้ เพราะผ่านงานมาเยอะแล้วทั้ง เซลล์ขายบ้าน พนักงานแบงก์ กุลีจับกังแบกน้ำตาล 7 ปี เป็นเจ้าของธุรกิจ ซีอีโอบริษัทอสังหาฯ เห็นมาหมดแล้ว ตั้งแต่ดินถึงข้างบน”
รมว.แรงงาน เผยว่า แม้ตนสามารถทำงานได้โดยมีทีมงานที่ดี แต่ยอมรับว่าการทำงานในกระทรวงแรงงาน ช่วงยากสุดคือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งประสบปัญหาเหมือนทุกประเทศ ส่วนการแก้ปัญหาไม่มีตำราไหนสอนได้ จึงต้องใช้ประสบการณ์ชีวิตกับความร่วมมือของประชาชนในการแก้จนสุดท้ายก็ผ่านมาได้ และทำให้จากระทรวงแรงงานที่เคยถูกมองเป็นกระทรวงฯ เกรด D เกรด C กลายเป็นกระทรวงฯ เกรด A+ นอกจากนี้ยังเห็นได้จากที่ทำงานมาเกือบ 3 ปี ไม่เคยมีม็อบแรงงานมาเรียนร้องหรือนอนค้างคืนที่กระทรวงฯ เหมือนในอดีต เพราะส่วนตัวมักยึดหลักการทำงานด้วยการประสานพูดคุยประสานกับภาคแรงงานอยู่ตลอด เพราะมองว่าสหภาพแรงงานเปรียบเสมือนเพื่อน
“พูดไปก็เหมือนเรื่องตลกในชีวิต เกิดมาปี 2517 อยู่โรงเรียนวัด ครอบครัวขายขนมถ้วยน้ำตาลสด วันหนึ่งพ่อก็ต้องไปทำงานซาอุฯ กลับมาก็ไปเป็น รปภ.อาบอบนวด แต่ก็เป็นอาชีพสุจริต ฉะนั้นการที่ผมได้มาเป็นรัฐมนตรี วันนี้ไม่รู้เกิดกี่ชาติมันจะเป็นอย่างนี้ได้ ยอมรับบุญคุณครั้งนี้ ลุงตู่ ลุงป้อม ให้โอกาสเราเพื่อให้มาทำงานให้กับพี่น้องแรงงาน” สุชาติ เผยความรู้สึกเกินฝัน จากลูกแม่ค้าสู่เก้าอี้รัฐมนตรี
ทำไมทิ้ง “ลุงป้อม บ้านพลังประชารัฐ” ไปอยู่กับ “ลุงตู่ ที่บ้านใหม่ พรรครวมไทยสร้างชาติ” ?
คำถามข้างต้นเป็นสิ่งที่ สุชาติ ยอมรับว่าถูกถามบ่อยมาก ตนก็อธิบายทุกคนเหมือนกันว่า เราต้องตอบแทนคนที่ให้โอกาส ทั้งๆที่อยากอยู่ทั้งกับ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ตนมีร่างเดียว ฉะนั้นจึงคิดไตร่ตรองว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจเหนื่อยเพราะมีองคาพยพทางการเมืองน้อย รวมถึงท่านก็มีบุญคุณในการให้โอกาสแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี และคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังทุกเรื่องในการทำงานของกระทรวงแรงแรงงาน ฉะนั้นวันนี้เมื่อรักทั้งคู่ แต่สุดท้ายก็ต้องเลือกเส้นทางการเมือง
“เพื่อไปต่อ และทดแทนบุญคุณ คนมองลุงตู่ อยู่ได้ 2 ปี ผมก็คิดว่าผมไปกับลุงตู่อย่างน้อยหลังจาก 2 ปีนี้ท่านก็หยุด แต่ลุงป้อมยังไม่มีเรื่องพวกนี้ (ยังไม่เคยเป็นนายกฯ) ยังอยู่ได้อีกนาน ถ้าลุงตู่เลิก และลุงป้อมยังคงรักผมก็อาจมีโอกาสลับไปช่วยท่านหากต้องการ แต่ถ้าผมมาอยู่กับลุงป้อมและทิ้งลุงตู่ 2 ปี จะได้กลับไปทดแทนบุญคุณตอนไหน”
สำหรับการตั้งเป้าหมายการหาเก้าอี้ให้ ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ สุชาติ มั่นใจว่า จะสามารถชิงเก้าอี้ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก ตะวันตก ได้ และเมื่อประกอบกับการดำเนินการตาม 3 ยุทธศาสตร์ คือ
1) สินค้า “ตัวบุคคล” ผู้สมัครที่จะไปนำเสนอ ชาวบ้านต้องซื้อ
2) บริษัทหรือพรรค ต้องมีความเชื่อถือ
3) จุดขายใหญ่ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ที่มีความซื่อสัตย์ สุจริตไม่โกง จะทำให้ได้ 40 เก้าอี้แน่ๆ โดยมั่นใจอย่างฐานเสียงจังหวัดชลบุรี จะคว้าชัย 7-8 เขต จากทั้งหมด 10 เขต
ส่วนคู่แข่งทางการเมืองแม้เป็นพรรคเก่า สุชาติ ยืนยันจะไม่มีความเกรงใจบ้านเก่า (พรรคพลังประชารัฐ) หรือเพื่อนเก่าอย่างแน่นอน
“ถ้าลงสนาม (การเมือง)แล้ว ความเป็นพี่เป็นน้องเหมือนเดิม แต่การเมืองหากโฆษณาแบบกล้าๆ กลัวๆ ใครจะมาซื้อ”
สำหรับการจับขั้วการเมืองเพื่อรวมเสียง ส.ส.ตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง สุชาติ มองว่า วันนี้นักวิเคราะห์สามารถประเมินได้ทุกสูตรการเมือง เหมือนกับการวิเคราะห์หวย พร้อมตั้งสมมติฐานว่า หากหลักเลือกตั้งมีพรรคหนึ่งได้ 40 เสียง และรวมทุกพรรคเสียงกว่าเกินครึ่งของสภาฯ ก็อาจตั้งรัฐบาลได้
อย่างที่ตนฟัง อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พูดก็ถูก การตั้งรัฐบาลต้องรวมให้ได้เกินครึ่ง เพราะสมมติหากพรรคเดียวได้ 150 แต่ไม่มีพรรคอื่นมาร่วมจะสามารถตั้งรัฐบาลได้ ฉะนั้นสุดท้ายอยู่ที่ว่าฝั่งไหนรวมเสียงได้มากก็ตั้งรัฐบาล แต่ถึงอย่างไรวันนี้ตนยังไม่คิดว่าจะหาได้แค่ 40 เสียง ถึงหลังคืนเลือกตั้งก็จะรู้
ส่วนความสัมพันธ์ 2ป. (พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประยุทธ์) สุชาติ เชื่อว่า ทั้งสองยังคงรักกัน เพราะความสัมพันธ์ทั้งคู่มีมากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะรับรู้รับทราบ เพราะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากว่า 40-50 ปี
"เหมือนการทำธุรกิจหากเปิดบริษัทก็ต้องสู้กัน แต่ความสัมพันธ์ยังอยู่" รมว.แรงงาน คนข้างกาย 'พล.อ.ประยุทธ์' ย้ำ
ภาพ - เสกสรร โรจนเมธากุล
ชมคลิป https://web.facebook.com/VoiceOnlineTH/videos/875132243818317
ข่าวที่เกี่ยวข้อง