ไม่พบผลการค้นหา
คำกล่าวนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุมกับผู้แทนของประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention: APMBC)

- คำแปล -

คำกล่าว โดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุมกับผู้แทนของประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรอบ อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention: APMBC) วันที่ 27 สิงหาคม 2568 เวลา 16.15 น. ณ สำนักงานสหประชาชาติ นครเจนีวา

ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ

สวัสดีตอนบ่ายครับ

ขอขอบคุณที่ให้ผมมาเข้าร่วมการประชุมที่นครเจนีวา ซึ่งเป็นเมืองหลวงด้านมนุษยธรรมของโลก และเป็นที่ตั้งถาวรของสำนักงานอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือที่รู้จักกันในนาม “อนุสัญญาออตตาวา”

ในวันนี้ เมื่อผมเดินทางเข้าสู่สำนักงานสหประชาชาติ นครเจนีวา ได้ผ่านประติมากรรมเก้าอี้หัก (Broken Chair) ซึ่งย้ำเตือนผมว่า อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลมิใช่เป็นเพียงสนธิสัญญาเท่านั้น หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของเจตจำนงร่วมกันของมนุษยชาติที่จะยุติความทุกข์ทรมานจากหนึ่งในอาวุธที่ไม่เลือกเป้าหมายและไร้มนุษยธรรมที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยประดิษฐ์ขึ้น

อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวความสำเร็จของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและการลดอาวุธ แต่เพื่อให้ความสำเร็จนี้คงอยู่ต่อไปได้ คุณค่าของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจะต้องได้รับการพิทักษ์และปฏิบัติตามอย่างจริงใจ 

ท่านผู้มีเกียรติ

ในฐานะประเทศที่มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าและสนับสนุนการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมอย่างแข็งขัน ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

ดังที่ท่านทราบ ประเทศไทยได้แสดงบทบาทที่แข็งขันภายใต้กรอบของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลมาโดยตลอด เพื่อรักษาชีวิต ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสนับสนุนผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดในการฟื้นฟูและกลับคืนสู่สังคม และเราจะยังคงมีบทบาทที่แข็งขันต่อไปภายใต้กรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้ทำการกวาดล้างพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดไปแล้วกว่าร้อยละ 99 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,500 ตารางกิโลเมตร เปลี่ยนพื้นที่เหล่านี้ให้เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” และฟื้นฟูวิถีชีวิตของชุมชนของเรา

ความพยายามดังกล่าวได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงจากประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ในการแสดงปาฐกถา “สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร” เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งได้ชื่นชมประเทศไทยที่สามารถ “ลดจำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดจาก 350 รายในช่วงปี 2542-2543 เหลือเพียง 24 รายในปี 2554”

และในปี 2567 ไม่พบผู้เสียชีวิตจากทุ่นระเบิดในประเทศไทย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดเพียง 3 ราย

ประเทศไทยได้เก็บกู้ทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดนของเรากับมาเลเซีย เมียนมา และ สปป.ลาว แล้ว โดยพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดที่เหลืออยู่ประมาณ 12.8 ตารางกิโลเมตร อยู่ตามแนวชายแดนกับกัมพูชา

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ประเทศไทยได้พยายามผลักดันความร่วมมือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมกับกัมพูชามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน

ท่านผู้มีเกียรติ

เป็นเรื่องน่าเสียใจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ปัจจุบันตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ประเทศไทยไม่เคยต้องการให้เกิดขึ้นและไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว

เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม เมื่อทหารไทยสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดขณะปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนตามปกติ ในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี

ต่อมา มีการค้นพบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมใกล้จุดเกิดเหตุ โดยมีเครื่องหมายโรงงานชัดเจนและไม่พบวัชพืชหรือรากไม้ แสดงให้เห็นว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ และเรามีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ว่าทุ่นระเบิดทั้งหมดนี้เพิ่งถูกวางเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทุ่นระเบิดเหล่านี้คือทุ่นระเบิดประเภท PMN-2 ซึ่งเป็นอาวุธที่กัมพูชามีไว้ในครอบครองตามรายงานความโปร่งใส (Transparency Report) ของกัมพูชาเอง ขณะที่ประเทศไทยไม่มีทุ่นระเบิดไม่ว่าประเภทใดอยู่ในครอบครองแล้ว

ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม เกิดเหตุการณ์อีกครั้ง ผมจำได้อย่างชัดเจนว่าขณะนั้นผมอยู่ที่นครนิวยอร์ก และกำลังจะเข้าพบเลขาธิการสหประชาชาติ

ผมได้แจ้งให้เลขาธิการสหประชาชาติทราบถึงสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งไทยประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของกัมพูชา พร้อมอธิบายถึงมาตรการสันติวิธีที่ประเทศไทยดำเนินการเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ 

จุดเปลี่ยนของสถานการณ์เกิดขึ้นในวันถัดมา คือวันที่ 24 กรกฎาคม เมื่อกัมพูชาได้โจมตีข้ามพรมแดนเข้ามาในประเทศไทย บริเวณพื้นที่ตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ตามมาด้วยการโจมตีด้วยอาวุธหนัก ซึ่งรวมถึงระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้ามาในพื้นที่ชุมชนพลเรือนของไทย โดยโจมตีโรงเรียน โรงพยาบาล และร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้มีพลเรือนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต รวมถึงเด็ก

ประเทศไทยได้โต้ตอบด้วยการป้องกันตนเองตามความจำเป็นและได้สัดส่วน ภายใต้ขอบเขตที่จำกัดและมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารอย่างเคร่งครัด โดยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเต็มที่

การโจมตียังคงดำเนินต่อไป แม้หลังจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ณ เมืองปุตราจายา โดยการอำนวยความสะดวกของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน – ข้อตกลงซึ่งกัมพูชาได้ละเมิด

ต่อมา ทั้งสองฝ่ายได้ประชุมหารือกันอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป สมัยวิสามัญ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้ตกลงการหยุดยิงที่ครอบคลุมอาวุธทุกประเภท รวมถึงทุ่นระเบิด ซึ่งประเทศไทยเคารพข้อตกลงนี้และมุ่งมั่นปฏิบัติตามอย่างเต็มที่

อย่างไรก็ดี ภายในเวลาไม่ถึงห้าวันหลังจากนั้น เกิดเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมสามครั้ง ในวันที่ 9 และ 12 สิงหาคม และครั้งล่าสุดคือเมื่อบ่ายวันนี้

จนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดเหล่านี้ทำให้ทหารไทยทุพพลภาพถาวร จำนวน 6 นาย นอกจากนี้ยังพบทุ่นระเบิด PMN-2 ที่เพิ่งวางใหม่และที่ยังไม่ถูกใช้งาน พร้อมหลักฐานว่าทหารกัมพูชาได้รับการฝึกฝนในการวางทุ่นระเบิดประเภทดังกล่าว ซึ่งชี้ชัดว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกนำมาวางโดยกัมพูชา

การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยอย่างร้ายแรง รวมถึงละเมิดอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน

การกระทำดังกล่าวยังเป็นการบ่อนทำลายเจตนารมณ์ของปฏิญญาและแผนปฏิบัติการเสียมราฐ–อังกอร์ ซึ่งได้รับการรับรองภายใต้การเป็นประธานของกัมพูชาเอง และถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงซึ่งเป็นรากฐานของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

ประชาคมระหว่างประเทศได้บรรลุความก้าวหน้าอย่างมากในความพยายามร่วมกันที่จะแก้ไขผลกระทบด้านมนุษยธรรมจากทุ่นระเบิด และเหตุการณ์เหล่านี้ถือเป็นการคุกคามความก้าวหน้าที่เราได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก

นี่คือเหตุผลที่ประเทศไทยตัดสินใจดำเนินการเรื่องนี้ภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล โดยไทยได้แจ้งประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 เพื่อให้ประเด็นนี้ได้รับการพิจารณาด้วยจิตวิญญาณแห่งการปรึกษาหารือและความร่วมมือ ภายใต้ข้อ 8 วรรค 1 ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ยื่นคำร้องเพื่อขอรับความชัดเจนจากกัมพูชาผ่านเลขาธิการสหประชาชาติ ตามข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลด้วย

ผมขอย้ำว่าการขอรับความชัดเจนจากกัมพูชาของประเทศไทยมีหลักฐานที่หนักแน่นรองรับ

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยได้เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อนำกัมพูชากลับสู่การปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างสมบูรณ์ ผมขอย้ำคำเรียกร้องต่อท่านผู้มีเกียรติและผู้เข้าร่วมการประชุมในวันนี้ในการดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้กัมพูชาปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างเคร่งครัด

ในขณะที่ประเทศไทยดำเนินการภายใต้กลไกของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ความพยายามในระดับทวิภาคียังคงดำเนินควบคู่กันไปเพื่อแก้ไขปัญหานี้ผ่านกลไกที่มีอยู่ ซึ่งรวมถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปและการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค

ซึ่งมีพัฒนาการเชิงบวกในประเด็นนี้

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค สมัยวิสามัญ กัมพูชาได้เห็นพ้องในหลักการที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม โดยรายละเอียดของความร่วมมือดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาเพิ่มเติมในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปในเดือนหน้า

ประเทศไทยหวังว่าความร่วมมือนี้จะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพื่อฟื้นฟูสันติภาพ เก็บกู้ทุ่นระเบิด และขับเคลื่อนเป้าหมายร่วมในการสร้างแนวชายแดนที่ปราศจากทุ่นระเบิด

อย่างไรก็ดี เพื่อให้ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงและอย่างจริงใจ กัมพูชาจะต้องไม่ขัดขวางการปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว 16 ครั้งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา

นอกจากนี้ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่กัมพูชาต้องไม่วางทุ่นระเบิดใหม่

และเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่กัมพูชาจะต้องไม่กระทำอื่นใดที่จะทำให้สถานการณ์บานปลาย รวมถึงการใช้สตรีและเด็กเพื่อบุกรุกเข้ามาในดินแดนไทย

ท่านผู้มีเกียรติ

ประเทศไทยเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่มีผู้ใดควรต้องทนทุกข์ทรมานจากอาวุธที่ไร้มนุษยธรรมนี้ และประเทศไทยจะยังคงยึดมั่นในหลักการมนุษยธรรมซึ่งเป็นหัวใจของอนุสัญญาฉบับนี้ต่อไป

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงรู้สึกยินดีที่จะแจ้งให้ทราบในวันนี้ว่า ประเทศไทยจะเข้าร่วมโครงการรณรงค์ระดับโลกเพื่อการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและการดำเนินการด้านทุ่นระเบิดของเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบร่วมกันของเราเพื่อสนับสนุนให้ทุกประเทศทั่วโลกเข้าร่วมและปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างครบถ้วน

การเข้าร่วมโครงการนี้ของประเทศไทยสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่มีมาอย่างยาวนานของไทยต่อการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตลอดจนย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ต่อเนื่องของประเทศไทยต่ออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

ประเทศไทยจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมการดำเนินการด้านทุ่นระเบิดผ่านโครงการนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาชีวิต ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปกป้องสิทธิมนุษยชน และขับเคลื่อนการพัฒนาและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและชุมชนของเรา

ประเทศไทยพร้อมทำงานร่วมกับสหประชาชาติและทุกหุ้นส่วนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งคือ การบรรลุโลกที่ปราศจากทุ่นระเบิดเพื่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต

ดังที่ Jody Williams ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ก่อตั้งการรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อห้ามทุ่นระเบิด ได้กล่าวไว้ว่า “ทุ่นระเบิดไม่สามารถหยุดการรุกรานได้ ทุ่นระเบิดไม่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ของสงครามได้ สิ่งที่ทุ่นระเบิดทำได้มีเพียงทำร้ายหรือพรากชีวิตประชาชนของตนเองเท่านั้น”

ถึงเวลาแล้วที่อาวุธที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ต้องถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์และไม่ถูกนำกลับมาใช้อีก เพื่อความปลอดภัย ศักดิ์ศรี และอนาคตของทุกคน รวมถึงเพื่อปกป้องและธำรงไว้ซึ่งคุณค่าของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

ขอบคุณครับ


Remarks by H.E. Mr. Maris Sangiampongsa, Minister of Foreign Affairs of Thailand, at the Meeting with Relevant Parties and Stakeholders under the Anti-Personnel Mine Ban Convention

Excellencies,

Distinguished Guests,

Good afternoon.

Thank you for having me here in Geneva—the humanitarian capital of the world, and the permanent operational home to the Anti-Personnel Mine Ban Convention, or the Ottawa Convention.

As I entered the Palais des Nations (ปาเลย์ - เด - นาซิ อง) today, I passed by “the Broken Chair”. It reminded me that the APMBC is more than a treaty. It is a symbol of humanity’s determination to end the suffering caused by one of the most indiscriminate and inhumane weapons ever invented.

The Convention is one of the success stories of international humanitarian law and disarmament. But for that success story to endure, the integrity of the Convention must be safeguarded and implemented in sincerity.

Excellencies,

As a strong believer and active advocate for humanitarian disarmament, Thailand is fully committed to implementing its obligations under the APMBC.

As you are aware, Thailand has always played an active role within the framework of the Convention—to save lives, protect human dignity, and support mine victims in their recovery and integration to society. And we will continue to do so.

To date, we have cleared over 99 per cent of mine-contaminated areas, covering some 2,500 square kilometres—turning them into “safe spaces”, restoring livelihoods for our communities.

These efforts have been recognised by the international community, including by the President of the ICRC at the HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn Lecture on International Humanitarian Law in Bangkok last week, who commended Thailand for “reducing the human cost of mines from 350 casualties between 1999 and 2000 to just 24 in 2011”.

And in 2024, we recorded zero deaths and 3 injuries from landmines in Thailand.

We have cleared all landmines along our borders with Malaysia, Myanmar, and Lao PDR. The remaining 12.8 square kilometres of landmine contaminated area is along the border with Cambodia. 

This is why Thailand has, for a long time, been pursuing humanitarian demining cooperation with Cambodia.

Excellencies,

It is regrettable that we are confronted with the current situation at the Thailand – Cambodia border—one that Thailand neither sought nor stands to benefit from in any way.

It began on 16 July, when a Thai solider lost a leg to a landmine during a routine patrol in the Chong Bok area of Ubon Ratchathani Province.

Several more landmines were discovered near the incident site, with clearly visible factory markings, and no signs of vegetation or rooting, indicating that they were newly planted. And we have collected more than enough evidence that can be proved beyond any reasonable doubt that all these landmines were indeed planted just recently. These were PMN-2 type mines—which is in possession of Cambodia, according to its own transparency report, whereas Thailand no longer has landmines of any type in our stockpile.

Exactly one week later, on 23 July—another incident occurred. I remember it vividly as I was in New York—about to meet the Secretary-General.

I informed him of the situation and Thailand’s condemnation of Cambodia’s inhumane actions, and the peaceful measures we were taking to address this issue.

The turning point came the very next day, 24 July, when Cambodia launched cross-border attacks at Ta Muen Tom in Surin Province, followed by heavy artillery, including BM-21 multiple rocket launchers into Thai civilian communities, striking schools, hospitals and convenient store—killing innocent civilians, including children.

Thailand responded in necessary and proportionate self-defence, limited in scope and strictly aiming at military targets, in full respect of international law, the UN Charter, and international humanitarian law.

The attack continued even after a ceasefire was reached on 28 July in Putrajaya through the good offices of Malaysia, in its capacity as ASEAN Chair—a ceasefire that Cambodia broke.

Later, both sides met again at the Extraordinary General Border Committee (GBC) Meeting in Kuala Lumpur and agreed to a ceasefire covering all types of weapons, including landmines—an agreement that Thailand fully respects and is firmly committed to.

Yet, less than five days later, three additional landmine incidents occurred on 9 and 12 August, and the latest, this afternoon.

To date, these landmine attacks have caused permanent disability to 6 Thai soldiers. Newly planted and unused PMN-2 mines were also discovered, together with evidence that Cambodian soldiers had been trained to lay such mines—clearly indicating that these mines were planted by Cambodia.

These acts constitute a serious violation of the sovereignty and territorial integrity of Thailand, and of the Ottawa Convention—in breach of the ceasefire agreement.

It also undermines the spirit of Siem Reap–Angkor Declaration and Action Plan, adopted under Cambodia’s own presidency, and constitutes a grave breach of international humanitarian law, which forms the foundation of the APMBC.

The international community has come a long way in our collective efforts to address the humanitarian impacts of landmines—and these incidents threaten our hard-won progress.

This is why Thailand has decided to pursue this matter under the Convention. We have notified the President of the 22nd Meeting of the States Parties to address the issue in the spirit of consultation and cooperation under Article 8, paragraph 1 of the Convention. We have also formally requested for clarification from Cambodia through the UN Secretary-General, pursuant to Article 8, paragraph 2.

I would like to stress that Thailand’s request for clarification from Cambodia is supported by solid evidence.

At the same time, Thailand has called on the international community to do what they can to bring Cambodia back to full compliance with the Convention. I reiterate my call to Excellencies and colleagues present at this meeting today to do what you can to ensure Cambodia’s compliance with the Convention.  

While pursuing these steps under the APMBC, parallel efforts are being taken to resolve this issue bilaterally through existing mechanisms, including the General Border Committee (GBC) and Regional Border Committee (RBC)

There is positive development on this front.

Last Friday, at the Extraordinary RBC Meeting, Cambodia finally agreed in principle to cooperate with Thailand on humanitarian demining—the details of which will be addressed at the GBC meeting next month.

We hope this cooperation can move forward swiftly—to restore peace, clear mines, and advance our shared goal of a mine-free border.

For such cooperation to be genuine, however, Cambodia must not obstruct Thailand’s demining operations—which has occurred 16 times in the past 8 months.

It is also imperative that Cambodia refrain from planting new mines.

It is also crucial that Cambodia refrain from other acts that further aggravate the situation, including the use of women and children, to encroach into the territory of Thailand.

Excellencies,

Thailand firmly believes that no one should ever suffer from these inhumane weapons and remains guided by the humanitarian principles at the heart of this Convention.

For this reason, I am pleased to announce today that Thailand will join the United Nations Secretary-General’s Global Advocacy Campaign on Humanitarian Disarmament and Mine Action, a vital initiative that reflects our shared responsibility to support the universal adherence and full implementation of the APMBC.

Thailand’s participation in this Campaign reflects our long-standing commitment to humanitarian disarmament and international humanitarian law. It also underscores our enduring commitment to the Convention.

Through this Campaign, Thailand will do what we can to promote mine action, which is about saving lives, protecting dignity, safeguarding human rights and advancing development and the well-being of our peoples and communities.

Thailand stands ready to work with the United Nations and all partners toward the noble objective of the Convention - to achieve a mine-free world for the present and future generations.

As Nobel Peace Prize laureate Jody Williams, founder of the International Campaign to Ban Landmines, once said: “Landmines do not stop an invasion. Landmines don’t influence the outcome of a war. All they do is mutilate or kill your own people.”

It is time that these inhumane weapons be fully removed and never used again for the safety, dignity, and future of all people, and the integrity of the Anti-Personnel Mine Ban Convention.

I thank you.