พิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวในงานเสวนา 'ผู้นำท้องถิ่นกับเศรษฐกิจไทย' ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ว่า แม้ว่าผู้นำท้องถิ่นจะมีความสำคัญ แต่ในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันคงไม่ต้องพูดถึงผู้นำท้องถิ่นแล้ว เพราะปัญหาของผู้นำประเทศจะหนักมากกว่ามาก หากปล่อยให้ประเทศบริหารแบบนี้ประเทศไทยจะล้มเหลวทุกด้านอย่างแน่นอน สภาพปัจจุบันที่เกิดขึ้นยังไม่แน่ใจเลยว่าประเทศไทยเกิดการปฏิวัติเงียบขึ้นแล้วใช่หรือไม่ จึงอยากถามไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และจับแกนนำทั้งหมดเหมือนรวบอำนาจ แต่กลับทำให้มีการชุมนุมมากยิ่งขึ้นในบริเวณราชประสงค์เมื่อเย็นวานนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ข่าวได้กระจายไปทั่วโลกแล้ว และได้สร้างความเสียหายกับภาพพจน์ประเทศ ทำลายความเชื่อมั่นของประเทศไทยอย่างหมดสิ้น หมดหวังแล้วที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อีกต่อไป และขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออกในทันทีเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และเพื่อปลดชนวนความวุ่นวายของประเทศ และขอเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากร่วมรัฐบาลมิเช่นนั้นประชาชนจะจดจำไว้ว่ามีพรรคการเมืองไหนบ้างที่ร่วมสร้างความเสียหายให้กับประเทศ และทำร้ายประชาชน
ทั้งนี้ ปัจจุบันคนรุ่นใหม่รวมถึง นักเรียน นักศึกษา รู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่าปัญหาการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลวของพล.อ.ประยุทธ์มาตลอด 6 ปี และมาซ้ำเติมโดยวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด จะทำให้อนาคตพวกเขามีปัญหาแน่ ถึงพวกเขาตั้งใจเรียนเรียนได้ดี จบการศึกษาสูง ก็จะหางานทำไม่ได้ เศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่มาโดยตลอด การส่งออกที่ทรุดหนัก และการลงทุนที่หายไป จะทำให้การจ้างงานหายไปด้วย ยิ่งเศรษฐกิจไทยปีนี้จะติดลบอาจจะถึง -10.4 % ตามที่ธนาคารโลกคาดการณ์ จะทำให้การจ้างงานแทบไม่มีเลย แถมจะตกงานเพิ่มขึ้นกันอีกมาก
อีกทั้ง การใช้เงินของรัฐบาลจำนวนมากเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ฟื้นเศรษฐกิจไม่ได้ มีแต่แจกเงินอย่างเดียว แต่ไม่ได้พัฒนาความสามารถในการแข่งขัน อีกทั้งจะเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้า ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะของไทยพู่งทะลุ 60% ทำให้รัฐบาลในอนาคตจะมีปัญหาในการกู้เงินเพิ่มเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ แถมงบประมาณก็ยังทำแบบเก่าๆ ทั้งที่สถานการณ์ของโลกเปลี่ยนไปแล้ว ตลอด 6 ปี มีการเพิ่มงบทางการทหารแบบไม่มีเหตุผล มีนายพลมากเกินจำเป็น และต้องเลิกเกณฑ์ทหารได้แล้ว จะเอาทหารเกณฑ์ไปรับลูกกระสุน หรือรับระเบิด ที่ยิงมาจากโดรนไปทำไม แถมล่าสุดยังมีการนำเงินไปทำไอโอ จนถูกทวิตเตอร์จับได้และปิดบัญชีไป 926 บัญชี ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก
พิชัย ระบุว่า หนี้ครัวเรือนทะลุ 83.8% และสิ้นปีจะทะลุ 90% และหนี้ธุรกิจที่กำลังจะเจ๊งมาก จะทำให้หนี้เสียของระบบธนาคารพุ่งสูง ซึ่งจะทำให้ คนรุ่นใหม่ นอกจากจะตกงานและไม่มีงานทำแล้ว การจะกู้ยืมเงินเพื่อทำทุนหรือเพื่อใช้จ่ายก็จะทำไม่ได้ เพราะธนาคารที่มีหนี้เสียมากจะไม่ปล่อยกู้ และจะต้องไปกู้หนี้นอกระบบแทน ที่คิดดอกเบี้ยเงินกู้อย่างมหาโหด ไม่มีทางที่จะกู้ไปทำธุรกิจอะไรแล้วจะกำไร อีกทั้งจะโดนทวงหนี้อย่างโหดร้าย และอาจข่มขู่ครอบครัวจนอาจต้องฆ่าตัวตาย ตามที่เห็นในข่าวบ่อยๆ ในช่วงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์
อีกทั้ง เมื่อนำผู้นำของประเทศของเราไปเปรียบเทียบกับผู้นำของประเทศอื่น พวกเขารู้ได้ทันทีว่าไม่มีทางเลยที่ผู้นำเราจะสามารถพัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองได้ ทั้งระดับสติปัญญาและความสามารถ แถมยังแสดงความด้อยปัญญาให้ประชาชนได้รับรู้อยู่บ่อยครั้ง ทุกวันนี้มีแต่บอกว่าเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ ไทยยังดีกว่าประเทศอื่นมาก ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เหมือนที่มีคนบอกว่ารัฐบาลนี้ชอบโกหก ซึ่งต้องเลิกโกหกได้แล้ว เพราะการที่รัฐบาลไม่ยอมรับรู้ปัญหาที่แท้จริง รัฐบาลจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และคนจะทนกันไม่ไหว และพล.อ.ประยุทธ์ยังยอมรับเองว่า ตื่นมาก็ถูกประชาชนรุมด่าแล้ว โดยไม่ดูเลยว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมาจากตัวเองทั้งหมด
ตลอด 6 ปีที่ผ่านมานี้ประเทศไทยไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับประชาคมโลกเลย การค้าการลงทุนจึงหดหาย โดยได้ไหลไปประเทศเพื่อนบ้านหมด ซึ่งหากไทยยังไม่รู้ตัวและไม่เร่งแก้ไข ไทยจะทรุดลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการเกิด disruption ทางเทคโนโลยีของโลก ก็จะยิ่งทำให้ไทยยิ่งแย่ลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นการตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ใหม่เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แนวทางต่างๆ ที่คนรุ่นใหม่นำมาใช้ก็สร้างสรรค์อย่างมาก ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าในอนาคตประเทศไทยจะอยู่ในมือของคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถที่เก่งพอ เพราะทุกคนต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่จะมีสัดส่วนของคนแก่เพิ่มขึ้นมาก หากคนรุ่นใหม่ไม่เก่งพอ จะไม่สามารถหารายได้เพื่อเลี้ยงดูคนแก่เหล่านี้ได้ คนจะเดือดร้อนกันอย่างมาก ประเทศจะเข้าสู่ภาวะที่ยากลำบากได้เลย
ถึงเวลาแล้วที่คนรุ่นเก่าที่ตกยุคและถ่วงการพัฒนาจะต้องลาออกและให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศแทนได้แล้ว หากท่านยังไม่รู้ตัวว่าเป็นคนถ่วงความเจริญ ในไม่ช้าประวัติศาสตร์จะจดจำความเสียหายที่ท่านสร้างให้กับประเทศอย่างไม่มีใครลืมเลย
'ชวลิต' แนะ 'ประยุทธ์' ลาออก-เปิดสภาสมัยวิสามัญ คลี่คลายสถานการณ์
ชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย ให้ข้อสังเกตต่อการชุมนุมทางการเมืองในปัจจุบันว่า ได้ขยายผลการชุมนุมจาก กทม.ไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในลักษณะที่เรียกว่า 'ฮ่องกงโมเดล' แล้ว โดยเฉพาะอาจขยายผลไปยังสถานศึกษา ทั้งระดับอุดมศึกษาและมัธยมศึกษาอย่างกว้างขวาง
หากสถานการณ์การชุมนุมขยายตัวเพิ่มขึ้นทั่วประเทศดังกล่าว ความเชื่อมั่นประเทศจะยิ่งเสื่อมทรุด ปัญหาเศรษฐกิจจะยิ่งถดถอย จนยากจะเยียวยาด้วยความสุจริตใจ ผมขอเสนอทางออกของปัญหาโดยสันติวิธี ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรีควรแสดงความรับผิดชอบที่บริหารราชการและการเมืองบกพร่องอย่างร้ายแรง ด้วยการลาออก เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์
2. รัฐบาลควรเปิดสภาสมัยวิสามัญ เพื่อนำปัญหาข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมเข้าสู่สภา ฯ ให้ตัวแทนประชาชนได้พิจารณาปัญหาและเสนอแนะต่อรัฐบาลโดยเร็วที่สุด
3. รัฐสภาเร่งพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร็วที่สุด ให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
ในสถานการณ์อันเปราะบางทั้งทางเศรษฐกิจ และการเมืองเช่นนี้หวังว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และร่วมกันรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้
'อนุสรณ์' แนะ 'ประยุทธ์' รับสภาพ ไปต่อลำบาก
อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ว่า หลังการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลต้องประเมินว่า สามารถยับยั้งการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมคณะราษฎร 2563 ที่มีมวลชนหลั่งไหลออกมาร่วมชุมนุมอย่างล้นหลามได้หรือไม่ รัฐบาลประยุทธ์จะอยู่ต่อไปเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ จะตัดสินใจอย่างไรกับสถานการณ์ปัจจุบัน คนออกมาไล่จำนวนมากขนาดนี้ถือว่าหนักมาก แต่ที่สำคัญกำลังหลักในการขับไล่รัฐบาลประยุทธ์ คือนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน อนาคตของชาติ รัฐบาลต้องประเมินและรับสภาพอย่างตรงไปตรงมา ว่าไปต่อลำบาก ทางเลือกไหนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังพอตัดสินใจเลือกได้ แล้วสร้างความเสียหายหรือเกิดผลกระทบน้อยที่สุดต้องตัดสินใจ เร่งแสดงความจริงใจเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นที่ยอมรับและยึดโยงกับประชาชนให้มากที่สุด แล้วยุบสภาคืนอำนาจกลับไปให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเป็นผู้ตัดสิน ระบุไทม์ไลน์ให้ชัดและสั้นที่สุด การทู่ซี้อยู่ในอำนาจ ที่บริหารไม่ได้ ควบคู่กับการเดินหน้าปราบปรามจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาด แก้ไม่ตรงจุด ปัญหาไม่จบ
“ม็อบมาทุกวัน ผุดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ รัฐบาลจะปราบไหวหรือ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ที่เห็นต่างไม่ใช่ศัตรู การมีส่วนร่วมทางการเมืองมีความสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตย รัฐบาลต้องรับฟัง บ้านเมืองต้องการประชาธิไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม” อนุสรณ์ กล่าว
'การุณ' ชี้ 'การุณ' บูชายัญประเทศหวังครองอำนาจต่อ
การุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า กรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร มีผลตั้งแต่เวลา 04.00 น. ที่ผ่านมา ถือเป็นการใช้อำนาจที่เกินกว่าเหตุ
ทั้งนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นรัฐบาลไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เพราะการชุมนุมหน้าทำเนียบประกาศยุติการชุมนุมไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง จึงเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อรักษาอำนาจมากกว่าที่จะเจรจาเพื่อหาข้อยุติโดยสันติวิธี
การุณ กล่าวด้วยว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศที่ถดถอยอยู่แล้ว ยากเกินกู้ได้ เพราะรัฐบาลทำลายความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจลงด้วยตัวเอง ประกาศล่าสุดที่ออกมาจึงเหมือนกับการประกาศปิดกั้นโลกภายนอกไปโดยปริยาย เพราะรัฐบาลต้องการเพียงเพื่อขยายอำนาจและเปิดทางให้กองทัพสามารถใช้กำลังกับประชาชนได้ โดยไม่ต้องรับผิดชอบใช่หรือไม่
“ผมว่าประเทศไทยจบข่าวแล้วครับคราวนี้ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ยอมที่จะเทหมดหน้าตัก โดยใช้เศรษฐกิจประเทศไทยแลกกับการอยู่ในตำแหน่ง เพราะห้วงเวลานี้เป็นช่วงที่ทุกประเทศกำลังเปิดประเทศต้อนรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวกันอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลเลือกใช้วิธีนี้ก็ไม่ต่างกับการปิดประเทศ ผมยืนยันว่าทำแบบนี้ต่างชาติไม่มาลงทุนในประเทศไทยแน่นอน ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้นายทุนใกล้ชิดรัฐบาลกินรวบประเทศกันต่อไป การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงจึงไม่ต่างจากการใช้กฎหมายเพื่อขยายอำนาจตัวเองของพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อเป็นรัฐบาลอีก1สมัยตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เพราะฉะนั้น การกระทำเช่นนี้จึงไม่ต่างกับการนำประเทศไปบูชายัญนั่นเอง ”การุณ กล่าว