ไม่พบผลการค้นหา
ประธาน นปช. น้อมรับคำพิพากษาศาลฎีกาสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายร่วมกับ 'ณัฐวุฒิ - อริสมันต์' เป็นเงินร่วม 30 ล้านบาทในคดีร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์จากเหตุช่วงชุมนุมทางการเมืองปี 53 ยกคำพิพากษาหลังประกาศสลายชุมนุม มีทหารเคาะประตูบ้านโจกท์ให้ออกจากบ้านจนเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายหลัง ย้ำตัวเองพูดคนละบริบท ไม่ได้เป็นประธาน นปช.เมื่อปี 53 - ชี้ รธน.แก้ไม่ได้ ถ้าพรรคการเมืองไม่ถอย ต้องเปิดทางประชาชนนำ

จากกรณีที่ เว็บไซต์ไทยโพสต์ ได้รายงานข่าวระบุคำให้สัมภาษณ์ของนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ได้ไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมาในคดีแพ่งตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6646-6647/2561ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับการวางเพลิงเผาทรัพย์ช่วงระหว่างการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)โดยมีการฟ้องเรียกค่าเสียหาย โดยคดีดังกล่าวมีนางนุชทิพย์ บรรจงศิลป์ โจทก์ที่ 1, นายสิริเชษฐ์ สุขประสงค์ดี โจทก์ที่ 2 , นางมนัสนันท์ สุขประสงค์ดี โจทก์ที่ 3 และบริษัทยูแอลซี ซอฟแวร์ โจทก์ที่ 4 ฟ้องจำเลย 11 คน ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, กระทรวงการคลัง, กระทรวงกลาโหม กองทัพบก, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายทักษิณ ชินวัตร, กรุงเทพมหานคร และม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร 

โดยโจทก์ฟ้องว่าได้รับความเสียหายจากการวางเพลิงเผาอาคาร จำนวน 3 คูหา ตั้งอยู่ที่บริเวณถนนราชปรารถ กรุงเทพมหานคร ในช่วงระยะเวลาที่มีการชุมนุมของกลุ่มนปช. จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายทั้งสิ้น 385,920,800 บาท ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และกทม. ส่วนจำเลยคนอื่นยกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น 

นายราเมศ ระบุด้วย่วา ศาลฎีกาพิพากษากลับให้นายจตุพร นายณัฐวุฒิ และนายอริสมันต์ ร่วมกันรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 1,347,000 บาท นอกจากนี้ยังให้ร่วมกันชดใช้ค่า���สียหายให้แก่โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 12,000,000 บาท และร่วมกันรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากคำพิพากษา พบว่าศาลฎีกาให้เหตุผลสรุปสาระสำคัญว่าคำพูดของนายจตุพร นายณัฐวุฒิ และนายอริสมันต์ ล้วนเป็นการปราศรัยที่ยุยงส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมร่วมกันแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่

จตุพร รับวิบากกรรม นปช. น้อมรับคำพิพากษาให้ชดใช้ 30 ล้าน

ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ระบุผ่านรายการ ลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้ถึงพูดเรื่อง วิบากกรรมของ นปช.ยังไม่สิ้นสุด พูดไม่ทันขาดคำ อย่างกับตาเห็น ในวันที่ 22 ส.ค. มีคำพิพากษาศาลแพ่ง ซึ่งมีตน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. และนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีตแกนนำ นปช. เป็นจำเลยร่วมให้ชดใช้ค่าเสียหายในคดีแพ่ง ซึ่งต่างคนก็ไม่ทราบว่าศาลฯได้นัดอ่านคำพิพากษา เนื่องจากไม่ได้รับหมายศาล ทั้งนี้ ใการวางเพลิงคดีดังกล่าวนี้ ไม่มีการจับกุมผู้ต้องหาได้แม้แต่เพียงรายเดียว ในคดีอาญา ส่วนในคดีแพ่ง โจทก์ ก็ไม่สามารถมายืนยันได้ว่าใครเป็นคนเผา และโจทก์ก็ไม่ได้ปรักปรำใคร ได้ฟ้องคนที่เกี่ยวข้องในการชุมนุมทั้งหมด ทั้งฝ่ายรัฐและผู้ชุมนุมร่วมกันเป็นจำเลย เรียกค่าเสียหายตามจริง

นายจตุพร กล่าวต่อว่า เมื่อตนได้ยินข่าวคำพิพากษานี้ ด้วยว่าไม่ได้รับหมาย จึงไม่ได้ไปฟัง เมื่อฟังข่าวนี้ เราก็เลือกที่จะตั้งหลักแล้วก็เงียบ แต่ปรากฏว่านายราเมศ เป็นคนออกมาแถลงเรื่องนี้ ตนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องอธิบาย ด้วยเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แล้วศาลฎีกาลงให้พวกตนทั้งสามคน ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 19 ล้าน 3แสน รวมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 เป็นเงินประมาณ 30 ล้านบาท 

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นในเวลา 19.00 น.เศษ ของวันที่ 19 พ.ค. 2553 ภายหลังพวกตนได้ยุติการชุมนุมในเวลา 13.45 น. ซึ่งจากสาระสำคัญของคำวินิจฉัยศาลฎีกา มีถ้อยคำคำให้การของโจทก์ที่น่าสนใจ ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า น้อมรับคำตัดสินของศาลทุกประการ ไม่มีคำพูดใดที่มีเนื้อหาละเมิดอำนาจศาลทั้งสิ้น ไม่ว่าจะรู้สึกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม

ยกคำพิพากษาชี้โจทก์ถูกทหารเคาะให้ออกจากบ้านก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้

นายจตุพร ระบุว่า แต่เมื่อโฆษกพรรคประชาธิปัตย์เอาเรื่องนี้มาแถลงเป็นประเด็น ในการฟ้องของโจทก์ก็ได้ให้ความเป็นธรรม จึงฟ้องทุกฝ่ายว่าต้องรับผิดชอบ โจทก์ได้เล่าตามข้อเท็จจริงในการเบิกความ โดยระบุว่า ในวันที่ 19 พ.ค. มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าควบคุมพื้นที่ชุมนุมในเวลา 14.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมประกาศสลายการชุมนุม จนกระทั่งเวลา 16.00 น. มีเจ้าหน้าที่ทหารวางรั้วลวดหนามไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าบริเวณถนนราชปรารถ และนำป้ายข้อความว่า พื้นที่ใช้กระสุนจริงวางไว้กลางถนน เมื่อเวลาประมาณ 17.30 น.มีเจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มหนึ่งมาเคาะประตูบ้าน แจ้งให้โจทก์ที่ 2 ออกจากบ้าน โดยอ้างว่าจะมีการดับไฟฟ้า เพราะต้องการให้ผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้ย้ายไปอยู่ที่อื่น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทหารควบคุมพื้นที่ จะได้ปฎิบัติเคลียร์ผู้ชุมนุมออกไปจากสามเหลี่ยมดินแดง และหากไม่ออกไปจะไม่รับรองความปลอดภัย ต่อมาเวลาประมาณ 19 .45 น.ได้เกิดเพลิงไหม้บริเวณอาคารของโจทก์ที่ 2 ถึง 4 ได้รับความเสียหาย ซึ่งขณะนั้นพื้นที่อยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของเจ้าหน้าที่ทหาร

ส่วนหนึ่งของคำพิพากษา มีใจความว่า ในการปราศรัยของจำเลยที่ 6 ได้ใช้คำพูดปราศรัยในทำนองปลุกเร้าให้ผู้ชุมนุมตอบโต้อำนาจรัฐด้วยการเผาบ้านเผาเมือง เหมือนจำเลยที่ 7 นายณัฐวุฒิ และจำเลย ที่ 8 นายอริสมันต์ ซึ่งก็ได้อธิบายความกันแล้วว่า คำพูดดังกล่าวอยู่กันคนละห้วงเวลา จำเลยที่ 6 หมายถึงตน เพียงพูดในลักษณะให้มารวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัดเหมือนคำพูดของจำเลยที่ 11 คืออดีตนายทักษิณ แต่จำเลยที่ 6 เป็นประธาน นปช. แสดงบทบาทเป็นหลักเป็นแกนสำคัญ ในการชุมนุมครั้งนี้โดยตรง จำเลยที่ 6 อยู่ร่วมรับรู้การปราศรัยของ จำเลยที่ 7 และ 8 และกล่าวอ้างกรณีที่ นายจตุพร ให้การเบิกความ แก้ตัวแทนจำเลยที่ 7 และ 8 ในทำนองพูดเพื่อป้องปราม มิให้รัฐใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาสลายการชุมนุม

รับไม่ทันตั้งตัว ย้ำปี 53 พูดถ้อยคำเดียวกับ 'ทักษิณ' แต่ไม่ถูกยกฟ้อง

นายจตุพร ยังระบุอีกว่า เรื่องนี้ตนอยากเรียนด้วยความเคารพว่า การพูดว่าหากมีการปราบปรามให้ไปรวมตัวที่ศาลากลาง ตนพูดในวันที่ 3 เม.ย. 2553 และในขณะที่พูด ตนไม่ได้เป็นประธาน นปช. แต่ตอนนั้น นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ เป็นประธาน นปช. ตนได้รับตำแหน่งประธาน นปช. ปี 2557 แต่คำวินิจฉัยศาลบอกว่า แม้ว่าไม่มีถ้อยคำเป็นการปลุกเร้า เป็นถ้อยคำเดียวกับนายทักษิณ แต่คดีนี้ นายทักษิณ ยกฟ้อง แต่นายจตุพรพูดคำเดียวกันไม่ยกฟ้อง เพราะเป็นประธาน นปช. ซึ่งข้อเท็จจริงในขณะนั้น ตนไม่ได้เป็น ประธาน นปช. ในขณะนั้น

นายจตุพร ระบุว่า เมื่อคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วก็เป็นที่ยุติ แบบไม่ทันตั้งตัว พวกตนก็เป็นหนี้กันได้ 19 ล้าน 3 แสนบาท สามคนบวกดอกเบี้ย เฉลี่ยคนละ 10ล้าน ซึ่งก็ต้องปรึกษาหารือกันกับพรรคพวกอีกสองคน แม้เรื่องทั้งหมดไม่ได้กระทำการ ไม่ว่าอย่างไรเมื่อคำตัดสินออกมาเช่นนี้ พวกตนก็ต้องน้อมรับทุกประการ เพียงแต่ข้อเท็จจริง โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นเอกชน เขาไม่ได้ฟ้องในลักษณะปรักปรำ เขาจึงฟ้องทุกภาคส่วน ไม่ว่าฝ่ายรัฐ กระทรวง ทบวง กรม กรุงเทพมหานครหรือ ผู้ชุมนุม จำเลยอีกสองคน ทั้งนายณัฐวุฒิ และ นายอริสมันต์ ก็มีประเด็นที่ได้มีการหักล้างกันไปแล้ว ว่าพูดที่เขาสอยดาว และหน้ากองบัญชาการกองทัพบก เป็นคนละบริบท

“การขยายนำเอาคำพิพากษานี้ มาหยิบใช้ทางการเมืองจนเกินงาม หลังจากนี้เราทั้งสามคน จะมานั่งคุยกันว่ามีขั้นตอนทางกฎหมายเรื่องชดใช้ค่าเสียหายอย่างไร ในกรณีจำเลย ไม่ได้รับหมายศาล ซึ่งก็พิสูจน์ได้"

วอนพรรคการเมืองถอยให้ประชาชนนำแก้ รธน.กดดัน ส.ว.

นายจตุพร ระบุว่า รัฐบาลต้องยอมรับความจริง การแจกเงิน 1,000 บาทแก้ความจนไม่ได้ เพราะการแก้ไขความยากจนมันต้องแก้ไขตั้งแต่ราก จนกระทั่งถึงยอด ถ้าเป็นในอดีตความตายที่เกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากความยากจน อันเป็นผลจากเศรษฐกิจปากท้องนั้น จะถูกหยิบมาใช้เป็นประเด็นการเมืองในการโค่นล้มรัฐบาล ทั้งนี้ ตราบใดที่ยังไม่แก้รัฐธรรมนูญ และไม่มีผลในการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย เพราะ250เสียงนั้นนำมาบวก ให้เกิน 376 หาเพียง 126 เพราะฉะนั้น ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมจะพ้นตำแหน่งออกไป เดี๋ยวพล.อ.ประยุทธ์ก็กลับมา ไม่ใช่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไปแล้วจะได้คนใหม่เข้ามา

ดังนั้น การเมืองจะแก้ปัญหาความยากจนไม่ได้ถ้าไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ทั้งนี้ ปัญหาปากท้องยังต้องแก้ต่อไป และโครงสร้างทางการเมืองนี้ยังเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะยังมีอำนาจของวุฒิสภาอยู่ เพราะฉะนั้น พรรคการเมืองถอยให้ประชาชนนำ เพื่อให้กระแสสังคมไปกดดันวุฒิสภา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง