สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในออสเตรเลียยังคงน่าเป็นห่วง โดยยังคงมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 23,772 รายและเสียชีวิตแล้ว 438 ราย
ขณะที่หลายรัฐกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มและการล็อกดาวน์อีกครั้งหลังจากเผชิญหน้ากับการระบาดระลอกที่ 2 โดยในรัฐนิวเซาท์เวลส์ มีต้นตอของการระบาดมาจากเรือสำราญ Ruby Princess หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของนิวเซาท์เวลส์อนุญาตให้นักท่องเที่ยวกว่า 2,700 รายขึ้นฝั่งและพบว่า 120 รายมีอาการป่วย
ทั้งนี้จาการสืบสวนการระบาดของโควิด-19 ในรัฐนิวเซาท์เวลส์พบว่าผู้ติดเชื้อ 914 รายส่วนมีความเกี่ยวข้องกับเรือสำราญ Ruby Princess และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 28 ราย จากเรือสำราญดังกล่าว ขณะที่ยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 62 รายที่ติดเชื้อจากผู้โดยสารของเรือลำดังกล่าวด้วย
ขณะที่ในรัฐวิกตอเรีย หน่วยงานสาธารณสุขและทรัพยากรมนุษย์พบว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในรัฐนั้นมีสาเหตุหลักมาจากความล้มเหลวของระบบกักตัวที่เป็นมาตรการบังคับใช้กับผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ
'ชาร์ลส์ อัลเพรน' นักระบาดวิทยาของรัฐวิกตอเรียกล่าวว่า 99% ของผู้ติดเชื้อโควิดในรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงแรม Rydges ในสวอนตันและโรงแรม Stamford Plaza ทั้งสิ้น โดยการระบาดของโรงแรม Rydges เริ่มจากสมาชิกในครอบครัวหนึ่ง 4 รายที่เดินทางมาจากต่างประเทศมีเชื้อโควิด-19 และมากักตัวที่โรงแรมดังกล่าวเมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่โรงแรม Stamford Plaza มีพนักงาน 46 รายติดเชื้อจากผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.และคู่สามีภรรยาที่เดินทางมากักตัวที่โรงแรมเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้จากการสืบสวนพบว่า ทั้ง 2 โรงแรมมีระบบการกักตัวที่ล้มเหลว โดยพนักงานของโรงแรมนั้นสวมใส่เพียงแค่หน้ากากอนามัยและไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ รวมถึงการรักษาระยะห่างแต่ละบุคคล (social distancing)
ปัจจุบันทางการรัฐวิกตอเรียมีคำสั่งให้ใช้มาตรการคุมเข้มระดับ 4 ซึ่งรวมไปถึงการล็อกดาวน์ร้านค้า ร้านอาหารอีกครั้งเป้นระยะเวลา 6 สัปดาห์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในเมือง โดยเมลเบิร์นพบผู้ติดเชื้อมากถึง 725 รายและมีผู้เสียชีวิต 25 รายภายใน 24 ชั่วโมง