พล.อ.มาร์ก มิลลีย์ เสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ กล่าวเมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (24 ก.ค.) ว่า ตัวเลขการสกัดกั้นเครื่องบินและเรือรบของกองทัพจีน ในภูมิภาคแปซิฟิกของสหรัฐฯ และกองทัพหุ้นส่วนอื่นๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงตัวเลขการตอบโต้ความไม่ปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
“ข้อความก็คือ กองทัพจีนทั้งในอากาศและทะเล มีความก้าวร้าวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะ” มิลลีย์กล่าว โดยความเห็นของเสนาธิการร่วมสหรัฐฯ ในครั้งนี้ เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางเยือนอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการเดินทางเยือนของสหรัฐฯ สองวัน ก่อนการเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง เพื่อเจ้าพบ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ของ โจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซียในวันนี้ (25 ก.ค.) ซึ่งจะเป็นโอกาสแรกในรอบ 2 ปี ที่มีผู้นำต่างชาติเดินทางเข้าพบสี นอกเหนือจากการจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวเมื่อช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
การเดินทางเยือนภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกของมิลลีย์ เน้นไปที่ประเด็นภัยคุกคามของจีนในภูมิภาคนี้ โดยมิลลีย์จะมีกำหนดการเดินทางต่อไปยังออสเตรเลีย ซึ่งเป็นชาติหัวใจสำคัญที่จะยกระดับมาตรการ เพื่อตอบรับกับการขยายตัวของกองทัพจีน โดยชาติพันธมิตรทั้งสองยืนยันในเรื่องหลักการอินโด-แปซิฟิกที่เสรี เปิดกว้าง และสงบสุข ซึ่งจีนถูกมองว่าเป็ยภัยคุกคามต่อหลักการดังกล่าว
กองทัพสหรัฐฯ ยังได้ออกแจ้งเตือนจากการคาดการณ์ของตนว่า มีโอกาสที่จีนจะเข้ารุกรานไต้หวันในช่วงปี 2570 เพื่อยึดไต้หวัน ซึ่งเป็นดินแดนที่มีอำนาจปกครองตนเอง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินจีนคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ สหรัฐฯ และพันธมิตรยังหวาดระแวงต่อข้อตกลงด้านความมั่นคง ที่จีนลงนามกับหมู่เกาะโซโลมอน เมื่อช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อการตั้งฐานทัพเรือของจีนบนเกาะดังกล่าว โดยทั้งสหรัฐฯ และออสเตรเลียระบุว่า การที่จีนนำหมู่เกาะโซโลมอนมาเป็นตัวประกันนั้น เป็นที่รับไม่ได้อย่างยิ่ง
“นี่เป็นพื้นที่ที่จีนพยายามจะขยายอิทธิพลออกไปเพื่อความต้องการของตนเอง และอีกครั้ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะจีนไม่ได้ทำเพื่อเหตุผลที่ไร้พิษสงเท่านั้น” มิลลีย์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่เดินทางไปกับเขา “พวกเขากำลังพยายามขยายอิทธิพลไปทั่วภูมิภาค และนั่นส่งผลถึงสิ่งที่ตามมา ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นผลดีต่อพันธมิตรและหุ้นส่วนของเราในภูมิภาคนี้เสมอไป”
รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โจ ไบเดน พยายามขยายความสัมพันธ์ทางด้านการทหารของตน ตลอดจนความมั่นคงเข้ามายังภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกอีกครั้ง เพื่อสร้างกำแพงกั้นอิทธิพลของจีน ที่ขยายตัวอย่างน่ากังวลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
โดยจากการที่มิลลีย์เข้าพบ พล.อ.แอนดิกา เปอร์กาซา ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพอินโดนีเซีย เสนาธิการร่วมสหรัฐฯ ระบุว่า อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในชาติอินดด-แปซิฟิก ต้องการให้สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมในภูมิภาค “เราต้องการทำงานร่วมกับพวกเขา (ชาติอินโด-แปซิฟิก) เพื่อพัฒนาการทำงานร่วมกัน และปรับปรุงกองทัพของเราให้ทันสมัย” มิลลีย์กล่าว เพื่อให้แน่ใจว่าอินโด-แปซิฟิกจะ “เผชิญกับความท้าทายที่จีนกำลังทำมีอยู่”
มิลลีย์ย้ำว่า อินโดนีเซียเป็นหัวใจสำคัญของจุดยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และเป็นชาติสำคัญต่อสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ ในการเดินทางเยือนของมิลลีย์ในอินโดนีเซียนั้น ทางการอินโดนีเซียได้จัดป้ายต้อนรับ พร้อมกันกับขบวนพาเหรดทางทหาร ตลอดจนการฉายภาพการทำงานในอดีตของมิลลีย์ขึ้นจอใหญ่
หลังจากการเดินทางเยือนอินโดนีเซียของสหรัฐฯ แอนดิกาได้ให้สัมภาษณ๋กับสื่อมวลชนว่า อินโดนีเซียพบว่าจีนมีความกล้าแสดงออกมากยิ่งขึ้น และมีความ “ก้าวร้าวเล็กน้อย” กับเรือเดินสมุทรที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับประเทศของตน
ที่มา: