ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทำไมพรรคประชาธิปัตย์กล้าพูดว่ายังไม่ตัดสินใจร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ในเมื่อเห็นๆ กันอยู่ว่าโดนเจาะไข่แดงไปเรียบร้อยแล้ว ยังอ้างว่ารอเขายกขันหมากมาขออีก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยพูดก่อนเลือกตั้งว่ายังไงไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างนี้ไม่ให้เรียกตระบัดสัตย์ อย่างที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย วิจารณ์ แล้วจะให้เรียกว่าอะไร
"นายอภิสิทธิ์ ไม่ได้พูดแค่ครั้งสองครั้งว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แต่เดินสายออกรายการทีวี ช่วงหาเสียงโค้งสุดท้าย ประชาชนเลยจำแม่นว่า นาย อภิสิทธิ์ พูดอะไรไว้ หรือนั่นเป็นแค่เทคนิคหาเสียงเลือกตั้งแบบศรีธนญชัย ทำไมไม่ตรงไปตรงมากับประชาชน และอย่ามาอ้างว่า นาย อภิสิทธิ์ ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว เพราะนั่นอาจเป็นแค่การหาทางลงสวย ๆ เพื่อจูบปากกับเผด็จการเท่านั้น เลยต้องเล่นไพ่หลาย ๆ หน้า ส่วนที่ปล่อยข่าวว่าจะเป็นฝ่ายค้านอิสระก็คงเพราะช่วงนั้น จะมีการเลือกตั้งซ่อมบางหน่วยใช่ไหม เลยเขียนบทให้คนรุ่นใหม่ออกมาพูดว่าไม่เอาเผด็จการ เพื่อให้ดูดีมีหลักการ แต่พอเลือกตั้งจบ ทำไมกลืนน้ำลายตัวเองแล้วไปเจรจาต่อรองเก้าอี้กับพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการล่ะ จุดยืนมีบ้างไหม" ร.ท.หญิงสุณิสา กล่าว
ร.ท.หญิงสุณิสา กล่าวว่า ตอนประชุมสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ผลัดกันโยนผลัดกันเสิร์ฟกับพรรคพลังประชารัฐ ทั้งในการโหวตเก้าอี้ประธานและรองประธานสภาฯ และตอนช่วยกันหาเรื่องเลื่อนการลงมติโหวตเลือกประธานสภาฯ ทั้งๆ ที่องค์ประชุมครบและมีความพร้อม ไม่มีความจำเป็นต้องเลื่อน แต่ในข่าวบอกว่า เพราะยังต่อรองผลประโยชน์กันไม่ลงตัว ทำไมเห็นผลประโยชน์พรรคมาก่อนผลประโยชน์ประเทศชาติ ถ้าไม่ศรัทธาระบบรัฐสภาอย่างจริงใจ ก็ไม่ควรลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส แต่น่าจะยื่นใบสมัครกับ ค.ส.ช. ไปเลย
"ทุกวันนี้ จนชาวบ้านถึงกับแบ่ง ส.ส. ออกเป็นฝ่ายพรรคเทพกับพรรคมาร หากอยากรู้ว่าประชาชนมองว่าใครเป็นเทพหรือเป็นมาร ดูได้จากผลการเลือกตั้งซ่อม ที่จังหวัดเชียงใหม่ จะเห็นว่าประชาชนตื่นตัวออกมาใช้สิทธิ์สูงถึงร้อยละ 88 หรือ 144,371 คน แม้ว่ากระแสการประชาสัมพันธ์จะน้อยก็ตาม แสดงว่าประชาชนต้องการส่งสัญญาณว่าไม่เอาเผด็จการและอยากสั่งสอนพรรคการเมืองที่หักหลังประชาชน เพราะคิดว่าเมื่อได้อำนาจไปแล้วจะใช้อำนาจนั้นอย่างไร ได้โดยไม่แคร์ความรู้สึกประชาชน" ร.ท.หญิงสุณิสา กล่าว
ด้านนายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ไม่มีใครสงสัยว่านายชวน หลีกภัย มีคุณสมบัติเหมาะสมที่ควรได้รับเลือกเป็นประธานสภาฯ แต่ประเด็นที่พวกเราแสดงความเห็นคือการที่พรรคพลังประชารัฐขอเลื่อนญัตติในวันประชุมโดยอ้างความไม่พร้อม ซึ่งนายอลงกรณ์คงทราบดีว่าขอเลื่อนเพราะการต่อรองผลประโยชน์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ลงตัว ซึ่งเราเห็นว่าไม่ใช่ประโยชน์ของประชาชนจึงไม่ควรเลื่อน แต่คนของพรรคนายอลงกรณ์ทุกคนยกเว้นนายเทพไท เสนพงศ์ กลับสนับสนุนในสิ่งที่ไม่สมควรต่างหากคือสิ่งที่เราวิจารณ์ว่าคนของพรรคนี้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ของประชาชน
ตนก็ยังเห็นด้วยเช่นกันว่าการร่วมรัฐบาลเป็นสิทธิของแต่ละพรรค แต่ที่ตนและคุณหญิงวิจารณ์คือพรรคการเมืองต้องมีความรับผิดชอบต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ก่อนการเลือกตั้งนายอภิสิทธิ์ประกาศชัดเจนว่าจะไม่สนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์สืบทอดอำนาจเป็นนายกต่อ คำสัญญานี้สำหรับพรรคเพื่อไทยถือว่าทุกคนต้องปฏิบัติตามไม่เช่นนั้นคือการหลอกประชาชนที่เห็นด้วยให้มาลงคะแนนให้ การวิจารณ์จึงทำด้วยความเป็นธรรมดังที่นายอลงกรณ์จะเห็นว่าพวกเราไม่เคยไปวิจารณ์พรรคพลังประชารัฐที่ประกาศสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เพราะพรรคนี้ได้ประกาศไว้แต่แรกแล้ว จึงไม่เป็นการตระบัดสัตย์เหมือนบางพรรคที่พูดอย่างทำอย่าง
การเป็นสถาบันทางการเมืองไม่ได้นับกันที่อายุอย่างเดียวแต่ดูการกระทำด้วย ดังจะเห็นจากพรรคการเมืองใหม่หลายพรรคที่รักษาสัจจะที่ให้ไว้กับประชาชนคือการเริ่มต้นที่ควรยกย่อง การอ้างสิทธิด้วยการทรยศหรือตระบัดสัตย์ที่ให้ไว้กับประชาชนแม้จะไม่ผิดกฎหมาย แต่สำหรับพวกตนขอเป็นคนโง่ที่รักษาสัจจะเพื่อคงความเป็นคนไว้ มากกว่าจะหาทางเลี่ยงบาลีไปต่ออายุให้เผด็จการเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว