ในท่ามกลางกระแสฟีเวอร์ของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทุกพรรค ในที่สุด “ประยุทธ์” ก็ตัดสินใจกระโจนสู่เวทีปราศรัย ช่วยพรรคพลังประชารัฐ โดยกำหนดเวทีแรกในวันที่ 10 มีนาคม ที่ จ.โคราช บ้านเกิด เพื่อปลุกกระแส “นายกคนโคราช” ชิงกับ “คุณหญิงหน่อย”
“ธนาธร ฟีเวอร์”
ไม่ว่าจะเป็นที่สยาม ไม่ว่าจะเป็นที่ชลบุรี และไม่ว่าจะเป็นที่ปัตตานี กระแส “ธนาธร ฟีเวอร์” ดำรงอยู่จริง ภาพถ่ายจากเวทีปราศรัยเมื่อวานนี้ที่ตลาดกรีนมาเก็ต ตรงข้าม ม.อ.ปัตตานี คือคำตอบ เป็นภาพผู้คนล้นหลาม โดยเฉพาะที่เป็นนักเรียน นักศึกษา ผู้เลือกตั้งหน้าใหม่
ธนาธรเริ่มต้นเวทีเมื่อวานนี้ด้วยประโยคว่า “ตั้งแต่เดินทางปราศรัยมาทั่วประเทศ ที่นี่มีพี่น้องประชาชนชนมาต้อนรับเยอะที่สุด”
“ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ” คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มีคิวบรรยายแถวนั้นพอดี เธอจึงเดินไปสังเกตการณ์งานปราศรัย หลังฟังแล้วพบข้อสังเกตที่น่าสนใจหลายประการ จึงนำมาโพสต์ไว้ที่เฟซบุ๊กส่วนตัว อยากถือโอกาสเอามาให้ได้อ่านกัน เพื่อเข้าใจถึงปรากฎการณ์ “ธนาธร ฟีเวอร์” ได้ดีมากขึ้น
“1. คนแน่นที่สุดในบรรดาเวทีที่อนาคตใหม่เคยไปปราศรัย (สมาชิกพรรคบอกมา)
2. ตอนแรกเลยคิดว่าเป็นเพราะกระแส "ฟ้ารักพ่อ" แต่มีอะไรมากกว่านั้น เพราะข้างๆ อิชั้นคือกลุ่ม "อาแบ" อายุ 50 อัพ ที่ส่งเสียงเชียร์เวลาสมาชิกและหัวหน้าพรรคพูดถูกใจ
3. เสียงเชียร์ดังสนั่นเวลาพูดถึงเผด็จการและการสืบทอดอำนาจ คนแถวนั้นบอกว่าสำหรับคนปตานี พวกฝ่ายประชาธิปไตยที่ถูกจับถูกฟ้องมีประสบการณ์ถูกกดขี่ร่วมกัน
4. กระนั้นก็ดี วัยรุ่นเยอะมากจริง มาจากม.อ.ข้างๆ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย เก้ง เกย์ กวาง หน้าตาหลงใหลปลื้มไปกับ "พ่อ"
5. คนมลายูมีวัฒนธรรมการฟังปราศรัยแบบมืออาชีพ ฟังแบบตั้งใจได้เป็นชั่วโมงๆ ถึงจังหวะโห่ฮาค่อยออกเสียง ไม่ค่อยขัดช่วงปราศรัย
6. เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าปชป.มาแรงแถวนี้ เพราะหัวคะแนน แต่อนาคตใหม่ไม่เล่นเกมนี้ ต้องดูกันต่อไปว่าจะเปลี่ยนเสียงกรี๊ดของวัยรุ่นให้เป็นคะแนนเสียง ได้สูสีหัวคะแนนได้มั้ย”
แม้โจทย์การแปลง “กระแสนิยม” เป็น “คณิตศาสตร์การเมืองและจำนวนเก้าอี้” ของพรรคอนาคตใหม่ จะยังไม่ชัดเจนนัก ทว่ากระแสนิยมที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ได้กระจายตัวไปในทุกหนแห่งที่ธนาธรเดินทางไป ไม่เพียงในเวทีปราศรัยที่เริ่มแน่นขนัด ไม่เพียงตามเส้นทางที่ขบวนรถแห่ผ่านไปถึง แต่ล่าสุดที่สนามบินนราธิวาส นักศึกษาไปรอต้อนรับและเซลฟี่กับธนาธร ถึงประตูทางออกของสนามบิน
ทว่าก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง 24 มีนา อนาคตใหม่ต้องฝ่าฟันอีกมากในสังคมที่เจเนเรชั่นเริ่มแยกห่างออกจากกัน ดังที่พบว่า IO ของฝ่ายความมั่นคงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายความนิยมของอนาคตใหม่ ให้ดับดิ้นลง โดยเฉพาะที่แพร่กันในกลุ่มไลน์ ชนชั้นกลางเมือง กลุ่มข้าราชการ และผู้สูงอายุ เป็นการตั้งเป้าให้เข้าใจผิด เป็นการทำไปเพื่อจงใจป้ายสีทางการเมือง งานของอนาคตใหม่จึงหนักนักหลังจากนี้ และหนักยิ่งขึ้นไปอีก หากได้เข้าสู่สภา
ขณะที่ “ประยุทธ์” จะเริ่มปราศรัยหาเสียงช่วยพลังประชารัฐ เวทีแรก 10 มีนาคมนี้ ที่บ้านเกิด จ.นครราชสีมา
เป็นอันว่า การรับลูกของผู้มีอำนาจฝ่ายต่างๆ ที่ดำเนินไปแบบ “เป็นกระบวนการ” ก็สำเร็จจนได้ เป็นการรับลูกเพื่อให้ “ประยุทธ์” มีที่ยืนบนเวทีปราศรัยเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยดึงกระแสความนิยมพลังประชารัฐให้เกิดขึ้นให้ได้
ว่ากันว่า การรับลูกนี้ เป็นผลจากการประเมินเกมการเลือกตั้งโดยกลุ่มสามมิตร ว่าเมื่อเดินทางไปปราศรัย ณ เวทีใด ก็พบว่า “พลังของเวที” ไม่พวยพุ่งนัก เพราะไม่มีแม่เหล็กทางการเมืองคอยดึงดูดผู้เลือกตั้ง
ขณะที่ “เพื่อไทย” มีทั้ง “เฉลิม” “อดิศร” “สุดารัตน์” ในขณะที่ “ไทยรักษาชาติ” มี “ณัฐวุฒิ” และในขณะที่ “อนาคตใหม่” มี “ธนาธร” “ปิยบุตร”
จำเป็นอย่างยิ่งที่พลังประชารัฐต้องมองหา “แม่เหล็ก” ในระดับพลิกเกมการเลือกตั้ง ดึงกระแสของพรรคสืบทอดอำนาจทางการเมืองให้กลับมา เมื่อพลังประชารัฐเปิดประเด็น ก็ตามมาด้วยการรับลูกของ “วิษณุ” และตามมาด้วยการเปิดทางแบบชนิดโรยกลีบกุหลายของ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง”
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงการตอบข้อซักถามของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า กกต.ได้ตอบไปว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สามารถเดินหาเสียงขึ้นเวทีปราศรัยและร่วมกิจกรรมของพรรคได้ แต่ต้องระมัดระวังตามมาตรา 78 ของกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ในเรื่องการวางตัวเป็นกลางของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงการใช้ทรัพยากรของรัฐ ทั้งรถและเจ้าหน้าที่
ชัดแล้วว่าในวันที่ 10 มีนาคมนี้ “นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน” จะปักธงที่ “โคราช” บ้านเกิด เพื่อช่วยพลังประชารัฐ สานอำนาจทางการเมือง และปูทางสู่การเป็น “นายกรัฐมนตรีคนต่อไป”
จบจากเวทีโคราชแล้ว “ประยุทธ์” ก็จะไปช่วยพลังประชารัฐหาเสียงต่อ ที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดสุโขทัย ในช่วงกลางเดือนมีนาคม ทว่าแม้จะเปิดทางสู่การขึ้นเวทีปราศรัย แต่จุดยืนของ “ประยุทธ์” ชัดเจน คือไม่ร่วมวงดีเบตกับนักการเมืองอื่นๆ ยืนยันในวิสัยทัศน์ของตัวเองผ่านยุทธ์ศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อทำให้ประเทศ “มั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
การกระโจนลงสู่เวทีปราศรัยในวันที่ 10 มีนาคมนี้ แม้จะช่วยเรียกคะแนนนิยมให้พลังประชารัฐชนิดเพิ่มพูน เพราะได้มือว้ากมืออาชีพไปปรากฎกาย ทว่านี่คืออีกจุดอันตรายในการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งหนที่สะท้อนให้เห็น “ความไม่เป็นกลางของกรรมการกลาง” ซึ่งจะค่อยๆ บ่อนเซาะความชอบธรรมของการเลือกตั้งไปเรื่อยๆ
“เลือกเพื่อไทยยกจังหวัดได้สุดารัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี”
“ประยุทธ์” เลือกเวทีปราศรัยที่โคราชบ้านเกิด ประเมินได้ว่าบนเวทีก็ต้องมีประโยคทำนอง “นายกรัฐมนตรีที่เป็นคนโคราช” “นายกรัฐมนตรีที่ทำให้ชาวโคราชภูมิใจ” ทว่านี่เป็นการเดินตามเส้นเรื่องเดียวกับ “คุณหญิงสุดารัตน์” เมื่อวันก่อน
“หญิงหน่อย” ประกาศบนเวทีปราศรัยที่โคราชชัดเจนเมื่อวันก่อน เป็นความชัดเจนแบบไม่เคยปรากฎมาก่อน เพราะขณะนี้สัญญาณชัดแล้วว่าเธอคือแคนดิเดตนายก “ตัวจริง” เธอบอกบนเวทีว่า #เลือกเพื่อไทยยกจังหวัดได้สุดารัตน์เป็นนายก
“พี่น้องคะ ในปี พ.ศ.2512 พี่น้องคนโคราชให้ความไว้วางใจ เลือกคุณพ่อของหน่อย “ส.ส.สมพล เกยุราพันธุ์” เข้าไปเป็น ส.ส.ในสภาฯ สมัยแรก ชีวิตทางการเมืองของคุณพ่อเริ่มต้นโคราช คุณพ่อเป็นทั้งแรงบันดาลใจและต้นแบบสำหรับหน่อย
50 ปีให้หลัง ลูกสาวของ ส.ส.สมพล ยืนอยู่ที่นี่เพื่อขอโอกาสจากคนโคราชอีกครั้งค่ะ
ถ้าคิดจะเปลี่ยนความทุกข์เป็นความสุข ถ้าคิดจะสร้างอนาคตที่ดีร่วมกัน ขอให้พี่น้องเลือกผู้แทนจากเพื่อไทยยกจังหวัดทั้ง 14 เขต ให้ไปยกมือในสภา ให้หน่อยลูกหลานชาวโคราชคนนี้เป็น ‘นายกรัฐมนตรี’ เพื่อนำความสุขและเศรษฐกิจดี ๆ มาให้พี่น้องชาวโคราช”
เป็นอันว่า เส้นเรื่องหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในการเลือกตั้ง 2562 คือการชิงกันระหว่าง “ลูกหลานคนโคราช” เพื่อเป็น “นายกรัฐมนตรี” ทว่าใครจะได้เป็น “นายกรัฐมนตรี จากคนโคราช” นาทีนี้ให้การเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคมเป็นคำตอบ!!