วันที่ 8 พ.ค. ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสดราม่าซาวข้าว 15 น้ำ หลังเดินทางไปทดลองรับประทานข้าวในโครงการรับจำนำข้าวที่ จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ว่า อย่าไปสนใจรายละเอียดแบบนี้เลย เพราะข้าวแต่ละถุงมีความแตกต่างกัน มีฝุ่นมากฝุ่นน้อย จะซาวจะกี่ครั้งก็ซาวเถอะ ซาวให้สะอาด ซึ่งวันนั้นเราซาวกันแค่ 5 ครั้ง ส่วนใครจะซาว 10 หรือ 15 ครั้ง ก็ขึ้นอยู่กับความในใจของตัวเอง นี่ไม่ใช่ประเด็น อย่าเบี่ยงประเด็นไปอย่างอื่น สิ่งที่ตนทำวันนี้ เพราะเป็นผู้ดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้าว ซึ่งมีเจ้าของโกดังทำเรื่องมาขอร้องว่าจะเอาอย่างไรก็เอาสักที ข้าวอยู่ตรงนี้มา 10 ปีแล้ว และโกดังถูกปิดตายด้วยกุญแจ จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิตหรือ หรือจะมาตรวจและจัดการ จะเป็นข้าวเน่า ข้าวดี ก็ไปจัดการให้มันจบ ปิดเรื่องนี้ไปเลย ตนจึงไปตรวจดูและชิมข้าวแล้ว และมาบอกได้ว่าข้าวไม่เน่า
ภูมิธรรม กล่าวว่า ส่วนที่มีคนออกมาบอกว่าข้าวเก็บไว้แค่ 1-2 ปีก็เน่าแล้วนั้น ยืนยันว่าข้าวเน่าหรือไม่เน่า จริงๆ อยู่ที่การเก็บรักษา ซึ่งเราทดลองให้สื่อมวลชนเข้าไปดูด้วย อยากจะเจาะตรงไหนก็เจาะ และข้างบนเราสามารถเจาะจากตรงกลางที่ส่วนใหญ่ชอบซ่อนข้าวที่ไม่ดีไว้ เราเจาะลงไป 15 ชั้น นำโดรนขึ้นไปบินและถ่ายออกมาให้ดู ทุกอย่างทำโปร่งใส ดังนั้น จึงไม่อยากให้นำจินตนาการมาชี้นำความจริง วันนี้เราเอาความจริงมาพูดและแก้ปัญหา
“ความจริงผมไม่ต้องทำอะไร ผมปล่อยไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผม แต่เมื่อมีคนร้องมาเราก็เข้าไปดู วันนี้เราพิสูจน์ทางกายภาพ พิสูจน์เบื้องต้น พบว่าเม็ดข้าวไม่มีแตก สีเหลืองไหม ยอมรับว่าเหลือง เป็นเรื่องธรรมดาของข้าวหลายปี แต่กระบวนการข้าวสามารถสีให้ขาวได้ ส่วนเรื่องยาอบข้าว จริงๆ การรมข้าว เขาก็ให้ 14 วัน ก็สามารถที่จะเข้าไปได้ กลิ่นต่างๆ ก็ออกไป ว่าตามธรรมชาติ ตามเทคนิค เอาหมอมาคุย อย่าไปนั่งพูดแล้ววิจารณ์ทำให้ของอยู่กับที่อย่างนี้ ปัญหาไม่ได้แก้ ไม่มีประโยชน์ ทำได้ทั้งนั้น สารที่น่ากลัว เช่น เรื่องรา ผมได้ดูแล้ว คิดว่าไม่น่ามีปัญหา คนจะมาซื้อก็ต้องตรวจอีกที วันนี้นำไปขายได้ ไม่ต้องกลัว ตนไม่ได้นำเรื่องนี้ไปทำลายชื่อเสียงประเทศ อย่าดรามามากนะครับ”
ภูมิธรรม กล่าวอีกว่า คนที่วิจารณ์ต้องมาช่วยกันคิดว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร วันนี้ความจริงไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่ากินได้หรือกินไม่ได้ แต่ปัญหาที่เคยพูดกันว่า ข้าว 1 ปีก็เน่า ตนมาพิสูจน์ให้เห็นว่าข้าว 10 ปี ด้านกายภาพไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง ไม่ได้แฉะ ไม่ได้ติดหนืด ไม่เหมือนกับข้าว 5 ปีที่เอามาโชว์ ย้ำว่าข้าวจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การเก็บรักษา ทั้งนี้ ในการทำจำนำข้าว เขามีกระบวนการเก็บรักษาเป็นมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม วันที่ไปดูตนนำเซอร์เวย์เยอร์ ซึ่งเป็นผู้ตรวจข้าวในมาตรฐาน ขึ้นทะเบียนการค้าเรียบร้อย ไปตรวจข้าวจำนวนมากแล้ว ไปขายในต่างประเทศ เป็นที่ยอมรับ ฉะนั้น ทุกกระบวนการที่จะมีปัญหาตนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว หากบอกว่ามีอะไร เดี๋ยวตนจะพิสูจน์ให้ อย่าพูดไปเรื่อยๆ แล้วมันไม่มีทางออก
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า วันนี้ถ้าขายข้าวได้ ตนประมาณว่า 18 บาทคือ มาตรฐาน วันนี้ข้าวกำลังราคาดี จะ 15-20 บาท ขึ้นอยู่กับการประมูลได้ อย่างไรก็ดีกว่าตอนที่บอกว่า 1 ปีแล้วข้าวเน่า ซึ่งขายได้ 5 บาท ตนไม่ได้อยากแตะเรื่องนี้ เพราะไม่ได้คิดว่าจะมาเคลียร์เรื่องนี้ ตนทำจบในหน้าที่ตน แล้วใครจะไปทำอะไรก็ไปทำ จะทำหรือไม่ทำก็แล้วแต่ ไม่เกี่ยวกับตน ไม่อยากให้มาใช้ตำนานคำว่าข้าวเน่า ทั้งนี้ ต้องเห็นใจโกดังที่มีค่าใช้จ่าย 10 ปี ที่มีค่าเสียโอกาส ตนไม่ได้มีเอี่ยวหรือมีประโยชน์อะไรกับเขา ทำไปตามกระบวนการ อย่าให้ตนเปิดประมูลได้แล้วมาติดขัด ไม่มีประโยชน์กับประเทศชาติ
“เอาสติมาคุยกัน เอาความจริงมาคุยกัน ผมเปิดเผยหมด มีผู้เกี่ยวข้องไปดูหมด แล้วคนที่ดูอยู่เฉยๆ จะมีปัญหาอะไร แก้ปัญหาให้มันจบ ปิดตำนานไปซะ ไปเคลียร์ซะ ได้ประโยชน์นำเงินขึ้นมา 200-400 ล้าน นำเงินมาชดใช้เจ้าของโกดังที่เขาเก็บไว้ ซึ่งผมคิดว่าเป็นผลดีกับประเทศชาติ เถียงกันก็ต้องเถียงว่าทำไมถึงเก็บตั้ง 10 ปี ทำไมเปิดออกมาแล้วยังเหมือนข้าวปกติ ทำไมวันนั้นเอาไปขาย 5 บาท เป็นข้าวหัก ข้าวเน่า วันนี้เปิดออกมา 10 ปี เขายังบอกว่า 15-18 บาทขายได้ อย่ามาดรามาเลย เพราะผมไม่ชอบดรามากับใคร เอาความจริงมาพูด เอาปัญหามาแบ เอาสติปัญญามาแก้ปัญหา” ภูมิธรรม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีดรามาว่ารัฐบาลกำลังฟอกข้าวให้กับคดีรับจำนำข้าว ภูมิธรรม กล่าวว่า แล้วแต่จะคิดครับ วันนี้นั่งอยู่เฉยๆ ตรงนี้ก็คิดไปได้สารพัด คิดบวกก็ได้ คิดลบก็ได้ คิดหนึ่งก็ได้ คิดสิบก็ได้ ก็คิดไป คนเรา ท่านใดมีความพึงพอใจที่จะคิด ใช้จินตนาการก็คิดไป ตนมีหน้าที่แก้ปัญหาก็มาแก้
ภูมิธรรม เปิดเผยภายหลังเป็นรองนายกฯ กำกับดูแลความมั่นคง โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม จะมอบนโยบายอย่างไร ว่า หลังจากนี้จะหาเวลาที่เหมาะสม และดูรายละเอียด พร้อมกับไปเยี่ยมเหล่าเหล่าทัพ ซึ่งวันนี้ได้มีการเริ่มพูดคุยกับบางคนแล้ว ว่าจะต้องดำเนินงานอย่างไร ซึ่งการดำเนินงานจะต้องเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ตัวเองในฐานะรองนายกฯก็จะรับฟัง ประสานงาน พร้อมตัดสินใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ซึ่งเชื่อว่าตนเองที่ได้บริหารกระทรวง และหน่วยงานต่างๆที่ผ่านมา ก็อยู่บนพื้นฐานรับฟังความคิดเห็น รวมถึงฟังฝ่ายปฏิบัติและนำนโยบายที่มีใบกำกับ ยืนยันไม่หลีกหนีเมื่อตัดสินใจแล้วก็รับผิดชอบ ซึ่งตนก็บริหารงานเช่นนี้โดยไม่มีปัญหากับกระทรวงใดๆ เนื่องจากมีการรับฟังทุกฝ่าย
ส่วนจะเรียกผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้ามาหารือหรือไม่นั้น ภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหา และตนอาจเดินทางไปพบเอง แต่ขอเวลาเคลียร์รายละเอียดต่างๆก่อน
เมื่อถามว่า จำเป็นจะต้องไปไดร์ฟกอล์ฟ ด้วยหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า “เดี๋ยวนี้ไม่ตีกอล์ฟแล้ว เพราะว่าแขนเอ็นขาด ตั้งแต่เอ็นขาดก็แขวนมา 6 เดือน รักษาตัวมาจนนิ่ง แต่ก็ยังไม่กล้าขยับ เพราะเอ็นมันยุ่ยแล้ว เขาต่อ เดี๋ยวกลัวจะเป็นปัญหาอีกจะลำบาก ปัญหาตามมา เดี๋ยวจะหาว่าผมดราม่าอีก”
เมื่อถามว่า จะสามารถดูแลงานเหล่าทัพได้ดีหรือไม่ เพราะจะมีการเสนอจัดซื้อยุทโธปกรณ์ รวมถึงการแต่งตั้งต่างๆ ภูมิธรรม กล่าวว่า อย่างที่บอก ไม่ได้คิดจะมาเป็นเจ้าเป็นนาย มาสั่งการ แต่คิดว่าหารือช่วยกันแก้ปัญหาประเทศชาติ เพราะฉะนั้นปัญหาทุกอย่างที่ทำไป ก็มาดูว่ายังดีหรือไม่ ปัจจุบันใช่หรือไม่ มีใครวิจารณ์เหล่าทัพอย่างไร ซึ่งตนเชื่อว่า ผบ.เหล่าทัพ รู้ดี เข้าใจดีมากที่สุด
ส่วนที่มีการผลักดันแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม เพื่อสกัดการรัฐประหาร ภูมิธรรม มองว่า อย่าพึ่งคิดเรื่องนี้ อย่าพึ่งคิดไกลไปหลายๆ เรื่องเลย เพราะตนยังไม่ได้เข้าไปดูรายละเอียด จึงขอดูรายละเอียด และปรึกษาหารือกับ สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก่อน
เมื่อถามว่า นายกฯ ได้มอบหมายให้ดูแลงานตำรวจด้วยหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่มีเปลี่ยนแปลงอะไร นายกฯ ยังคงนั่งตำแหน่งประธาน คณะกรรมการข้าราชการราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. และยังไม่ได้มอบอะไร ดังนั้นก็ไม่ต้องไปเกี่ยว