ไม่พบผลการค้นหา
กรมสุขภาพจิต แนะพ่อแม่ชวนลูกทำกิจกรรมสร้างสรรค์ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและใจที่ดี ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ 5 ด้าน ท่องเที่ยวและทัศนศึกษา-เล่นกีฬา-เล่นดนตรี-อ่านหนังสือ-ทำกิจกรรมจิตอาสา

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในสังคมยุคปัจจุบันที่สื่ออินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมโซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก เนื่องจากสามารถเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว จากการเชื่อมต่อผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ตโฟน ซึ่งเด็กในวัยเรียนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการเล่นเกมหรืออยู่กับหน้าจอมือถือนานเกินไป อาจทำให้ส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมได้

ดังนั้น พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ ด้วยการใช้โทรศัพท์มือถืออย่างระมัดระวังและใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น และพยายามชักชวนลูกให้ไปทำกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ แทนการให้ลูกอยู่แต่กับหน้าจอมือถือ เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยผ่านกิจกรรมตามความชื่นชอบและสนใจของเด็กแต่ละคน ที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีด้านต่างๆ รวมทั้งก่อให้เกิดความสุข สนุกสนาน มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ กรมสุขภาพจิตขอแนะนำกิจกรรมสร้างสรรค์ 5 ข้อ มีดังนี้

1. ท่องเที่ยวและทัศนศึกษา การออกไปท่องเที่ยวและทัศนศึกษาจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด เสริมสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ เพิ่มพลังบวกให้กับชีวิตเราได้ อีกทั้งยังช่วยให้มีสุขภาพกายและใจที่ดี การพาเด็กออกไปเจอโลกกว้าง จะช่วยจุดประกายกระตุ้นการเรียนรู้ เป็นการเปิดโลกทัศน์เพิ่มพูนความรู้ประสบการณ์ในการรับสิ่งใหม่ เสริมสร้างจินตนาการ ทำให้เกิดแนวความคิดสร้างสรรค์ไอเดียดีๆ เกิดความสุขสนุกสนานไปกับการเดินทาง สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า มีปฏิภาณไหวพริบที่ดี สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ 

2. เล่นกีฬา การเล่นกีฬานอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรงแล้ว ยังช่วยปลูกฝังให้เด็กรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย มีน้ำใจเป็นนักกีฬา การชักชวนให้ลูกเล่นกีฬา พ่อแม่ควรให้ความสนใจไปที่ความพยายามทุ่มเทตั้งใจของเด็ก และความเพลิดเพลินของกีฬามากกว่า การคำนึงถึงผลแพ้-ชนะ ซึ่งจะทำให้เด็กๆ ที่เล่นกีฬามีความยืดหยุ่นทางจิตใจมากขึ้น และเด็กจะได้เรียนรู้ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎกติกามารยาท การเล่นเป็นทีม เพื่อเสริมสร้างความสามัคคี ฝึกจัดการกับอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น อารมณ์โกรธ หงุดหงิด ไม่พอใจ ซึ่งเป็นสิ่งดีที่เด็กๆ จะได้เรียนรู้ในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง 

3. เล่นดนตรี การเล่นดนตรีจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจ ทำให้เกิดสมาธิ การเล่นดนตรีเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ใช้ดนตรีเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ พัฒนาสมาธิ ความจำ พัฒนาบุคลิกภาพ และเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง ดนตรีคือศิลปะ การเล่นเครื่องดนตรีนั้น มีประโยชน์ทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถช่วยลดความเครียดได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถบำบัดจิตใจได้ดี การสร้างเสียงดนตรีอันไพเราะนั้น ไม่ได้สร้างความสุขเฉพาะแค่ตัวเราเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งต่อความสุขไปให้แก่คนอื่นๆ ได้อีกด้วย

4. อ่านหนังสือ เป็นการกระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยผ่อนคลาย ฝึกสมาธิ ทำให้จิตใจสงบ ส่งผลดีต่อความจำ ช่วยชะลอหรือป้องกันภาวะสมองเสื่อม การอ่านหนังสือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ให้สาระ ความรู้ ความบันเทิง เพิ่มจินตนาการ เด็กจะได้สัมผัสเรียนรู้ความคิดและจิตใจของ ตัวละครต่างๆ ที่อ่านซึ่งอาจมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ฝึกฝนการคิดวิเคราะห์เมื่อต้องเจอสถานการณ์ปัญหาต่างๆ สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตจริงได้ นอกจากนี้ การอ่านหนังสือให้เด็กฟังหรือชวนเด็กมาอ่านหนังสือด้วยกัน หรือแม้แต่การชวนให้เด็กพูดคุยถึงเรื่องที่ได้เรียนรู้มาจากหนังสือ จะทำให้เด็กและผู้ใหญ่ได้แบ่งปันเรื่องราวซึ่งกันและกัน เป็นการใช้เวลาคุณภาพร่วมกันในครอบครัว นำไปสู่บรรยากาศในบ้านที่อบอุ่นและเป็นสุข

5. ทำกิจกรรมจิตอาสา การมีจิตสาธารณะ เสียสละ ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม เช่น ช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ปลูกป่า ปลูกต้นไม้ บริจาคเงินและสิ่งของ หรือเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กตามสถานสงเคราะห์ต่างๆ เป็นต้น จะช่วยปลูกฝังจิตสำนึกในการรู้จักแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มีน้ำใจต่อผู้อื่น ยินดีช่วยเหลือ ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ผู้อื่น และสังคม จะส่งผลดีต่อตัวเด็กเอง ทำให้มีสุขภาพจิตที่ดี ตลอดจนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและมีความเข้าใจผู้อื่นได้ง่าย