อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณีที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ออกแถลงการณ์ขอให้รัฐบาลไทยรับประกันสิทธิในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการพูด ยุติการคุกคามผู้ที่ชุมนุมอย่างสันติ เช่นเดียวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่เรียกร้องให้ทางการไทยเคารพพันธกรณีระหว่างประเทศที่จะต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในเสรีภาพการแสดงออก และการชุมนุมโดยสงบ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
รวมทั้งยังคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่เข้าร่วมการชุมนุมตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของประชาคมโลกต่อท่าทีของรัฐบาลในการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือคุกคามประชาชน ใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุม และยังสลายการชุมนุมที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ เกินกว่าที่ประชาคมโลกจะยอมรับได้
อรุณี กล่าวว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ควรตระหนักว่า วันนี้บริบทการเมืองของโลกเปลี่ยนไปแล้ว ประเทศต่างๆ ถูกเชื่อมโยงด้วยเทคโนโลยี แม้ในวันนี้อำนาจอธิปไตยของรัฐจะมีอยู่ แต่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะกฎหมายถูกใช้แบบเลือกปฏิบัติ ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อใจและไม่มีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลย่อมส่งผลต่อการค้าและการลงทุน นักลงทุนต่างชาติที่ยึดหลักความโปร่งใส และกติกาที่เป็นธรรม จะมองข้ามประเทศไทย เนื่องจากมีปัจจัยความเสี่ยงสูง ซึ่งในการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 26-27 ต.ค.ที่จะถึงนี้ พรรคเพื่อไทยจะหยิบยกประเด็นความบกพร่องของรัฐบาลในการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นประชาคมโลกและเศรษฐกิจไทย เพื่อตอกย้ำจุดยืนของพรรคเพื่อไทยในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้