การเมือง
อ่านเกม ‘อภิรัชต์’ สู้ ‘โรคชังชาติ’ จับตา ‘ประยุทธ์‘ จัดทัพ ตั้งขุนพล
หลัง ทบ.ไทย ได้ส่งกำลังพลและตัวแทน นร.นายร้อย จปร. ชั้นปี 5 ไปฝึก Lightning Forge ที่ฮาวาย รวม 151 คน เมื่อกลับมาไทยคิดเชื้อโควิด-19 ราย ซึ่ง พล.อ.อภิรัชต์ ระบุว่า โควิดรักษาหายป้องกันได้ แต่โรคชังชาติรักษาไม่หาย
“โควิดนั้น ต้องรู้จักป้องกันตนเอง และป้องกันคนรอบข้าง และรักษาหายได้ แต่โรคที่เป็นไม่หายคือ โรคชังชาติ โรคเกลียดชาติบ้านเมืองตัวเอง รักษาไม่หาย ไม่สำนึกบุญคุณแผ่นดินเกิด” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ ถูกจองกฐินหรือทัวร์ลงในโซเชียลฯ และจาก ส.ส.ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ที่ออกมาตั้งคำถามถึง ‘ความรักชาติ’ ของ พล.อ.อภิรัชต์ ในการทำหน้าที่ ผบ.ทบ. ว่าทำตามหน้าที่หรือไม่ ตามพันธกิจในงานด้านความมั่นคงและไม่ควรยุ่งการเมือง
โดยครั้งนี้เรียกได้ว่า พล.อ.อภิรัชต์ ตั้งใจที่จะสื่อสารคำว่า ‘โรคชังชาติ’ ออกมา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะที่ผ่านมา พล.อ.อภิรัชต์ ก็มีวาทะในลักษณะเช่นนี้ มาตั้งแต่ปี 62 ในการซัดกลับ โดยเฉพาะขั้วอดีตอนาคตใหม่ เช่น ซ้ายจัดดัดจริต , ฮ่องเต้ซินโดรม เป็นต้น
ทั้งนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ยังกล่าวถึง ‘วัคซีน’ ในการป้องกันโรคชังชาติด้วย
“คงจะวัคซีนหาลำบาก ก็ต้องปลูกฝังเยาวชนตั้งแต่เด็กๆ ให้รู้จักรักชาติ รักความสามัคคี จะมาเกลียดชาติตัวเองได้อย่างไร” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ก่อน พล.อ.อภิรัชต์ ได้ตั้งข้อสันนิษฐานถึงการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ดาวกระจายไปทั่วประเทศ โดยมองว่าเป็น ‘ทฤษฎีสมคบคิด Conspiracy Theory’ แต่ได้ปฏิเสธตอบว่ามีฝ่ายการเมืองเกี่ยวข้องหรือไม่
ทั้งนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ได้ติดตามการชุมนุมของกลุ่มนิสิตนักศึกษา รวมทั้งเห็นป้ายและในสื่อโซเชียลฯ โดย พล.อ.อภิรัชต์ ระบุว่า “มีการใช้วาจาผรุสวาท ใช้คำพูดไม่เหมาะสม ไม่บังควร”
การชุนนุมถูกจับตาอีกครั้ง โดยเฉพาะการขึ้นกล่าวปราศรัยของ ‘อานนท์ นำภา’ เมื่อค่ำ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยฝ่ายความมั่นคงประเมินว่า เป็นอีกแนวทางการปลุกการชุมนุมขึ้นมา เพราะผ่านมา 2 สัปดาห์ การชุมนุมเริ่มแผ่วลง อีกทั้งมองว่าบทบาทของ ‘ทนายอานนท์’ คือการเป็น Mastermind ต่อขบวนการชุมนุม รวมทั้งมองไปถึง ‘กลุ่มคนเดือนตุลา’ ด้วย
แน่นอนว่าแนวคิด Mastermind ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ ต.ค. 2562 ในเวทีแผ่นดินของเราฯ โดย พล.อ.อภิรัชต์ ได้ชี้ให้เห็นขบวนการเหล่านี้ โดยมองผ่านกรอบ ‘สงครามลูกผสม Hybrid Warfare’ ในรูปของคอมมิวนิสต์เดิม กับ ซ้ายจัด ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อผ่านโซเชียลฯ
- อานนท์ นำภา ปราศรัยประเด็นร้อนในการชุมนุมเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2563
โดย พล.อ.อภิรัชต์ ขยายความว่า เป็นพวกคนอายุ 70-72 ปี ที่ไม่ออกตัว แต่เป็น Mastermind เป็นนักวิชาการ ถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่น ร่วมกับพวกอาจารย์ นักวิชาการไร้จรรยาบรรณ โดยผสานระหว่าง ‘กลุ่มคนคอมมิวนิสต์เดิม’ ที่เป็น Mastermind กับ ‘กลุ่มครูอาจารย์’ ที่ไปเรียนต่างประเทศ เป็นพวกซ้ายจัด ที่ไปเรียนในประเทศที่เคยมาล่าอาณานิคมไทย จากนั้นโฆษณาชวนเชื่อผ่านโซเชียลฯ สร้างเฟกนิวส์ โดยชอบอ้างเลข 2475 เป็นตัวชี้นำ ชอบอ้างตนเป็นนักประชาธิปไตย แต่มีวาทกรรมจาบจ้วง
ทว่าสถานการณ์ยังคงสืบเนื่องอีกนาน แต่ พล.อ.อภิรัชต์ อีกเพียง 2 เดือน ก็จะเกษียณฯ จากตำแหน่ง ผบ.ทบ. โดยมีทายาท คือ ‘บิ๊กบี้’ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้ช่วย ผบ.ทบ.และ รอง ผบ.ทม. รอ.904 ที่ถือเป็นสายตรงของ พล.อ.อภิรัชต์ โตสายวงศ์เทวัญด้วยกัน แต่ต่างหน่วยเท่านั้น โดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ โตมาจาก ร.31 รอ. หรือหน่วยหมวกแดง RDF ของ พล.1 รอ. ส่วน พล.อ.อภิรัชต์ โตจาก ร.11 รอ.
ทั้งนี้ พล.อ.อภิรัชต์ เคยระบุว่า จะ ‘เซ็ตซีโร่’ ตัวเองในวันที่ 30 ก.ย.นี้ หลังส่งธงให้ ผบ.ทบ.คนใหม่ และให้รอติดตามว่าตนจะไปทำหน้าที่ใด
- ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ว ผช.ผบ.ทบ.
สำหรับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เป็นนายทหารที่นิ่งเงียบ และทำตัวโลว์โปร์ไฟล์มาโดยตลอด อีกทั้งเป็นนายทหารที่มีความจงรักภักดีอย่างมาก รวมทั้งดำรงตำแหน่งเป็น นายทหารพิเศษประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์
ด้วยความนิ่งเงียบของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จึงทำให้ยากจะรู้ได้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ ที่สำคัญ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม มากนัก
แม้ว่าจะเป็น ‘นายทหารลูกผสม’ ระหว่าง ‘วงศ์เทวัญ’ กับ ‘บูรพาพยัคฆ์’ เพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เคยเป็น ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.2 พัน.2 รอ.) มาก่อน แต่สุดท้ายมาเติบโตที่ ร.31 รอ. และ พล.1 รอ. แทน โดยได้ พล.อ.อภิรัชต์ สนับสนุน
แต่เชื่อได้ว่าทั้ง พล.อ.ณรงค์พันธ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะสนับสนุนกันและกัน เพราะทั้งรัฐบาลและกองทัพ ต่างตกเป็นเป้าของขั้วฝ่ายค้านและขบวนการนิสิตนักศึกษา อย่าลืมว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ จะต้องเป็น ‘สมาชิกวุฒิสภา’ (ส.ว.) โดยตำแหน่งด้วย และคุม ทบ. ยาว 3 ปี เพราะเกษียณอายุราชการปี 2566
ในส่วนเหล่าทัพอื่นๆ ก็มีการเปลี่ยน ผบ.เหล่าทัพ ทั้ง บก.กองทัพไทย ที่มีชื่อ ‘บิ๊กแก้ว’ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสธ.ทหาร เต็งหนึ่ง ผบ.ทหารสูงสุด คนใหม่ ที่จะเกษียณฯ ปี 2566 ซึ่ง พล.อ.เฉลิมพล เป็น รอง ผบ.ทม.รอ.904 ด้วย
ในส่วนกองทัพอากาศมี ‘บิ๊กจ้อ’ พล.อ.อ.ธรินทร์ ปุณศรี ผู้ช่วย ผบ.ทอ. ที่เป็นเต็งหนึ่ง ผบ.ทอ. คนต่อไป และกองทัพเรือมี 2 ตัวเต็ง คือ ‘บิ๊กช่อ’ พล.ร.อ.ช่อฉัตร กระเทศ รอง ผบ.ทร. ครองอัตรา ‘พลเอกพิเศษ’ ตท.19 ถืออาวุโสที่สุด และ ‘บิ๊กอุ้ย’ พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ตท.20 ผู้ช่วย ผบ.ทร. ที่มีชื่อติดโผเช่นกัน
โดยรายชื่อ ผบ.เหล่าทัพ จะถูกนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารนายทหารชั้นนายพล โดยมี ‘7 เสือกลาโหม’ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม รวมทั้ง รมช.กลาโหม, ปลัดกลาโหม และ ผบ.เหล่าทัพ ร่วมกันพิจารณา ก่อนนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ
การจัดทัพครั้งนี้จึงมีความสำคัญ เพราะ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ ถือเป็น ‘ขุนพล’ ข้างกายของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะต้องกรำศึกการเมืองไปด้วยกัน เพราะเสถียรภาพของ ‘กองทัพ-รัฐบาล’ มีความสัมพันธ์กัน ในสถานการณ์ที่แบ่งขั้วกันชัดเจน และมีความแหลมคม-ล่อแหลมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
จัดทัพสู้ ‘โรคชังชาติ’ ??
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
