นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ว่า จากการพิจารณา พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ SME ที่ผ่านการพิจารณาเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว ได้มี ส.ส. หลายคนอภิปรายถึงปัญหาอุปสรรคที่ SME ขนาดย่อมจำนวนมากเข้าไม่ถึงเงินกู้ที่ พ.ร.ก.ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยจัดซอฟต์โลนดูแล SME จำนวน 5 แสนล้านบาทที่ให้ SME กู้ผ่านธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐเพื่อเสริมสภาพคล่อง เพราะ SME ส่วนหนึ่งไม่ใช่ลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ที่ไปยื่นเรื่องขอกู้ ธนาคารหลายแห่งก็จะไม่ปล่อยกู้เพราะกังวลเรื่องหนี้เสีย ถึงแม้กระทรวงการคลังจะจ่ายชดเชยให้ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเอาไปคืนธนาคารพาณิชย์ส่วนที่เป็นหนี้เสีย 70 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม
ขณะเดียวกัน SME จำนวนไม่น้อยก็พบกับการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ที่ไม่เหมือนกับมาตรการที่ประกาศก่อนหน้านี้ บางที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่ควรจะเป็น
ขณะนี้ พ.ร.ก.ผ่านการพิจารณามาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ก็ยังไม่มีการแก้ไขอะไร จึงขอฝากภาครัฐให้เข้าไปสำรวจตรวจสอบดูว่าธนาคารบางแห่งมีการดำเนินการอะไรที่นอกเหนือจากมาตรการที่กำหนดหรือไม่ และควรให้ธนาคารปล่อยกู้ให้กับ SME อย่างทั่วหน้าทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ควรมีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยกู้ของธนาคารต่างๆ ว่าปล่อยกู้ให้ลูกค้าเก่ากี่ราย ลูกค้าใหม่กี่รายและภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือเก็บตก SME ที่เข้าไม่ถึงเงินกู้ ให้มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะทำธุรกิจต่อไปได้ เพราะ SME ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ ภาคการก่อสร้าง ภาคการเกษตรกว่า 3-4 ล้านราย มีการจ้างงานโดยรวมกว่า 14 ล้านคน
ถ้า SME อยู่ไม่ได้ การผลิตการค้าการบริการก็ไปไม่รอด มีคนว่างงานเพิ่มขึ้นอีกมาก คนชั้นกลาง คนชั้นล่างจะได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันไป กระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยากที่ SME จะกลับมาลืมตาอ้าปากได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว จะส่งผลเสียต่อประเทศเป็นอย่างมาก
โดยทั่วไป SME จะมีฐานะทางการเงินและสภาพคล่องต่ำอยู่แล้ว เมื่อมาเจอวิกฤตโควิด-19 กระหน่ำเข้ามาอีก ทำให้ SME อยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก
แต่ถ้า พ.ร.ก.ให้ความช่วยเหลือ SME 5 แสนล้านบาท สามารถทำตามมาตรการได้อย่างทั่วถึง จริงจังก็จะช่วยต่อลมหายใจ SME ที่เป็นเส้นเลือดสำคัญของเศรษฐกิจไทย ให้เป็นกำลังสำคัญของประเทศได้ต่อไป