เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2566 เวลา 17.50 น. พรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ บริเวณลานจอดรถวัดสมานรัตนาราม ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา นำโดย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง ,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า,วิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค
และ ดร.รัฐสภา นพเกต ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 เบอร์ 3 อรรถกร ศิริลัทธยากร ผู้สมัคร ส.ส. เขต 2 สายัณห์ นิราช ผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 พล.ต.ท พิทักษ์ จารุสมบัติ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 4 โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักมีประชาชน จำนวน 12,000 คน รอเข้าร่วมรับฟังการปราศรัย
พล.อประวิตร กล่าวว่า วันนี้รู้สึกอบอุ่นที่มาพบปะพี่น้องประชาชนในวันนี้ ผมและพรรคพลังประชารัฐพร้อมแล้วที่จะทำงานรับใช้พี่น้องชาว จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อให้ จ.ฉะเชิงเทรา ได้เจริญรุ่งเรือง ฝากพรรคพลังประชารัฐด้วย พรรคได้เลือกคนดี คนเก่งมาเป็นผู้แทนของพี่น้องชาว จ.ฉะเชิงเทรา ทั้ง 4 เขตโปรดเลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4
ทั้งนี้อยากจะสื่อสารให้พี่น้องทราบว่า พรรคพลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทำนโยบายบัตรประชารัฐเพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ลดราคาน้ำมัน แก๊สหุงต้ม และค่าไฟฟ้าลงในทันทีเมื่อได้เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยน้ำมันเบนซินลดลง 18 บาท ต่อลิตร ดีเซล ลดลง 6.30 บาทต่อลิตร ในทันทีพรรคได้มาเป็นรัฐบาล รวมทั้งมีมาตรการลดราคาแก๊สหุงต้มเหลือ 250 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ที่สำคัญคือ ลดราคาค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านที่อยู่ที่อาศัย เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย ภาคอุตสาหกรรม เหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย
อย่างไรก็ตาม พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดี ดังนั้นขอฝากพี่น้องประชาชนทุกคนช่วยเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 และเลือกผู้สมัครทั้ง 4 เขตของพรรคด้วยท เพื่อมอบความสุขให้กับประชาชนด้วยความจริงใจ นอกจากจะดูแลคนไทยทุกช่วงวัยทั้งเบี้ยผู้สูงอายุ โดย อายุ 60 ปี ได้รับการดูแล เดือนละ 3,000 บาท
อายุ 70 ปี ขึ้นไป ได้รับการดูแล 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับการดูแล 5,000 บาท ช่วยดูแลผู้สูงอายุให้สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังมีนโยบายดูแลสุภาพสตรีตั้งครรภ์ ตั้งแต่ 5 เดือนเป็นต้นไป เดือนละ10,000 บาท จนถึงคลอด และเมื่อคลอดออกมาแล้วจะดูแลไปจนถึง 6 ขวบ เดือนละ 3,000 บาท
นอกจากนี้ ยังนโยบายมีเราไม่มีแล้ง ได้ลงพื้นที่ดูแลเรื่องน้ำหลายครั้งเพื่อดูแลแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเรื่องน้ำเค็ม น้ำอุปโภค บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร และได้ทำโครงการต่างๆให้กับพี่น้องชาว จ.ฉะเชิงเทรา เป็นจำนวนมาก เรื่องที่ทำกินได้มอบหนังสืออนุญาตทำประโยชน์หลายครั้ง โดยเฉพาะพื้นที่เขาตะเกียบ
พรรคพลังประชารัฐจะแก้ปัญหาความยากจน และก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน ด้วยการลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับการศึกษา ยกระดับภาคอุตสาหกรรม และจะพัฒนาเขตพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC โดยการขยายเส้นทางถนนหมายเลข 304 ให้สะดวกในการคมนาคม ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“ผมพูดไม่เก่ง แต่ทำงานและประสานประโยชน์ได้ทุกฝ่าย จะนำคนเก่งๆมาร่วมมือกันทำงาน ก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างความรุ่งเรืองให้ประเทศก้าวข้ามความยากจน เราจะก้าวข้ามความยากจนและความขัดแย้งไปด้วยกัน ทำให้ประชาชนคนไทยทั้งปะเทศมีความเป็นหนึ่งเดียว รักใคร่สามัคคีกัน ขอให้เชื่อมั่นใน พปชร. ผมขอประกาศกับพี่น้องว่าเราทำได้ พร้อมจะรับใช้ประชาชนให้มีความสุขต่อไป โดยการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.นี้ โปรดเลือก พปชร.เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ขอฝาก พปชร.ไว้กับชาวฉะเชิงเทราด้วย” พล.อ.ประวิตร กล่าว
ยก 'ป้อม' เหมาะนายกฯที่สุดถถถถถถถ
ด้านสนธิรัตน์ กล่าวปราศรัยว่า ขอให้ประชาชนศึกษาวิธีของการกาบัตรให้ดี เพราะครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ หลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าฝ่ายไหนชนะการเลือกครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐยืนยันชัดเจนว่า ไม่เป็นศัตรูกับใคร แต่จะเป็นกาวใจเชื่อมประสานทุกพรรค เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี หลังการเลือกตั้งจะต้องไม่ตีกันและไม่ขัดแย้ง ความคิดแตกต่างกันได้ แต่คนไทยต้องรักกัน วันนี้เรามาขอคะแนน โดยจะเป็นกาวใจเชื่อมทุกฝ่ายเพื่อดูแลประชาชน
อีกทั้ง พล.อ.ประวิตร สามารถประสานงานได้ทุกฝ่ายเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด และบุคลากรในพรรคของเราก็มีความรู้ ความสามารถ และเรายังมีมือเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ตนจึงขอให้ประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐด้วย
สันติ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรประชารัฐ เดือนละ 700 บาท เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางได้มีเงินยังชีพ ปัจจุบันที่ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด 14.5 ล้านคน หรือประมาณ 25% ของคนไทยทั้งประเทศ โดยพรรคมีแนวคิดให้พี่น้องกลุ่มเปราะบางที่ถือบัตรสามารถขึ้นทะเบียน
เพื่อฝึกอบรมอาชีพ จำนวน 15 วัน และเมื่อผ่านการอบรมจะได้รับทุน จำนวน 30,000 บาทต่อคน เพื่อนำไปเป็นทุนในการประกอบอาชีพ โดยผู้ที่ถูกคัดเลือกจะผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้กลุ่มเหล่านี้มีอาชีพที่มั่นคง ก้าวพ้นจากความยากจน และเป็นผู้ประการรายใหม่ ซึ่งในโครงการนี้จะใช้เงินประมาณ 430,000 กว่าล้านบาท โดยจะนำเงินจากกระทรวงการคลังที่เป็นเงินนอกนิ่ง และมีมากกว่าจำนวนเงินที่ต้องใช้ในโครงการนี้
นอกจากนี้ทางพรรคพลังประชารัฐยังมีโครงการที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะสร้างประโยชน์ให้กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก โดยการสร้างทางรถไฟทางคู่เริ่มจาก จ.บึงกาฬ มายัง จ.มหาสารคาม จ.กาฬสินธุ์ จ.ร้อยเอ็ด และ จ.สุรินทร์ มา จ.ปราจีนบุรี มา จ.สระแก้ว มา จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคตามนโยบายที่จะพัฒนา “อีสานประชารัฐ”
ด้านอรรถกร หนึ่งใน ผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยว่า ผมต้องขอบคุณชาวฉะเชิงเทราที่ให้ความเอ็นดูมากกว่า 10 ปีตั้งแต่สมัยคุณพ่อของผมและวันนี้ตนมาขอคะแนนและขอความเอ็นดูจากพี่น้องอีก 1 สมัย ตนขอโอกาสได้เข้าสภาไปผลักดันการแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้พี่น้องชาวฉะเชิงเทราทุกคน ทั้งนี้ ขอให้วันที่ 14 พ.ค.พี่น้องเข้าคูหากาเบอร์ 37 หากจำไม่ได้ให้คิดถึงนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่จะเพิ่มจำนวนเงินในบัตรประชารัฐ จาก 300 เป็น 700