นพ.สุรวิทย์ กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่าตัวเลขต่างๆ น่าจะต่ำกว่าการรายงานอย่างเป็นทางการ
โดยการกดจำนวนผู้ติดเชื้อนั้นทำได้ง่ายมากคือ ไม่ตรวจ RT-PCR ส่วนจำนวนการตาย หากตายเพราะโควิดแล้วมีโรคประจำตัว ก็บันทึกว่าสาเหตุการตายเป็นเพราะโรคประจำตัว
ส.ส.เพื่อไทยยังระบุว่า 10 วันหลังประกาศให้สวมหน้ากากโดยสมัครใจ พบว่า
“ตัวเลขที่ไม่บอกความจริงกับประชาชน ใครจะรับผิดชอบ” นพ.สุรวิทย์ตั้งคำถาม
ในส่วนการรักษานั้น นพ.สุรวิทย์ระบุว่า ส่วนใหญ่ได้เฉพาะยาพารา ยาแก้แพ้ แต่ยารักษาโควิดจริงๆ นั้นมีไม่เพียงพอ อย่างไรก็ดี นพ.สุรวิทย์ระบุด้วยว่า ฟาวิพิราเวียร์ไม่ใช่ยาที่เหมาะสมกับการรักษาโควิด โดยอ้างอิงถึงคำอธิบายของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคนของไทย รวมถึงองค์การอนามัยโลกที่ก็ไม่ได้รับรองให้ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์รักษาโควิด ส่วนญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้คิดค้นและผลิตก็เลิกใช้ยาฟาวิพิราเวียร์รักษาโควิดมา 2 ปีแล้ว ดังนั้น รัฐบาลไทยควรต้องซื้อโมลนูพิราเวียร์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า แต่ปรากฏว่ารัฐบาลกลับยกเลิกซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ แล้วไปซื้อฟาวิพิราเวียร์ 17 ล้านเม็ดมูลค่าเกือบ 300 ล้านบาท น่าเสียดายที่จะสูญเปล่า
“เรามีความเหลื่อมล้ำในการรักษา เพราะยามีจำกัดมาก ในช่วงเวลาเดียวกันประชาชนได้ฟาวิพิราเวียร์ แต่รัฐมนตรีที่อายุเพียง 56 ปีได้ยาโมลนูพิราเวียร์” นพ.สุรวิทย์กล่าว
นพ.สุรวิทย์ยังอภิปรายด้วยว่า สายพันธุ์โอมิครอนเริ่มพบในช่วงต้นเดือน ธ.ค. 64 เริ่มเข้ามาในประเทศไทยต้นปี 65 จึงมีเวลาที่จะต้องจัดหาวัคซีนที่เหมาะสม โดยมีข้อมูลงานวิจัยต่างๆ ออกมาแล้วที่พบว่า วัคซีนแอสตร้าเซนเนกา (AZ) ไม่ใช่วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสำหรับสายพันธุ์นี้
นพ.สุรวิทย์ระบุว่า ขณะนั้นประเทศไทยฉีดแล้ว 100 ล้านโดส ยังต้องฉีดกระตุ้นอีก 51 ล้านโดส ซึ่งควรเป็นวัคซีน mRNA เช่น ไฟเซอร์ โมเดอร์นา แต่วันที่ 21 ธ.ค.64 ครม.อนุมัติงบซื้อวัคซีนรับเมือโอมิครอน โดยซึ้อไฟเซอร์เพียง 30 ล้านโดส แต่ซื้อ AZ ถึง 60 ล้านโดส ด้วยวงเงิน 18,762 ล้านบาท
เมื่อดูราคาเฉลี่ยต่อโดส AZ จะพบว่าเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เรียกว่าซื้อแพงที่สุดในโลกที่ราคา 312.7 บาทต่อโดส
“เป็นที่น่าสงสัยเกี่ยวกับฝีมือการเจรจา หรือมีเหตุผลอื่น” นพ.สุรวิทย์กล่าว
นพ.สุรวิทย์ ระบุว่า ปัจจุบันมีวัคซีนที่เหลือตกค้าง ส่งให้รพ.สต.ต่างๆ 11 ล้านโดส รอวันหมดอายุ ดูแล้วเป็น AZ และซิโนแวค ที่ไม่ค่อยมีใครฉีด มีมูลค่ารวมกันถึง 4,000 ล้านบาท และหากดูในภาพรวม ประเทศไทยมี AZ ค้างสต๊อกที่รอวันเททิ้งมากถึง 30 ล้านโดส คิดเป็นมูลค่าเกือบ 10,000 ล้านบาท
“สิ่งที่ควรทำขณะนี้รัฐบาลควรยุติการซื้อ AZ เปลี่ยนแปลงสัญญาเจรจาต่อรองไปซื้อ mRNA แต่นายกฯ ทำเพียงลดการสั่งซื้อ แต่ยังซื้อเติมตลอด ยังทยอยเข้ามาอีก 22 ล้านโดส รวมแล้ว 52 ล้านโดส รวมมูลค่าเกือบ 17,000 ล้านบาท”
เรื่องนี้ทำเอา อนุทิน ชาญวีรกูล เจ้ากระทรวงหัวเสีย ลุกขึ้นชี้แจงทันทีว่าอย่าด้อยค่าวัคซีน
รมว.สาธารณสุขระบว่า AZ ไว้วางใจมาตั้งฐานการผลิตประเทศไทย ให้เราเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น อย่าไปฟังโดยไม่กรองแล้วเอามาพูด ทั้งที่ส.ส.สุรวิทย์เองก็เคยทำงานในกระทรวงสาธารณสุข ทำไมทัศนคติต่อสธ.เปลี่ยนแปลงไป
ข้อมูล สธ.พบว่า เมื่อประชาชนได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ไม่พบการเสียชีวิตหากได้รับวัคซีนตามที่ สธ.แนะนำและลดการเจ็บป่วยอาการหนัก วัคซีนยังทำงานอย่างเต็มที่ในทุกแบบ ไม่นานนี้มีการเผยแพร่งานวิจัยที่ทำร่วมกันระหว่าง ม.นเรศวรและมหิดล ว่า วัคซีนสามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยได้ถึง 4.9 แสนคน ฉะนั้นอย่าด้อยค่าวัคซีน
“วัคซีนที่ไทยมีอยู่ ไม่มีวัคซีนรอวันหมดอายุ และยังมียารักษาโรคโควิดเพียงพอ สิ่งที่ควรจะทำในฐานะผู้แทนราษฎรคือ ไปขอร้องประชาชนมาฉีดวัคซีนให้มากที่สุด” อนุทินกล่าว
"ข้อมูลที่ท่านมานำเสนอเป็นเท็จ ท่านไม่ได้กรอง แต่พวกผมหน้างานกรอง ก่อนมาพูดต้องถามแล้วถามอีก การเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ไปสู่การรับรู้ของประชาชน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสุขภาพของเขา เช่น การดูถูกทางการแพทย์ การด้อยค่าวัคซีน ด้อยค่ายา ด้อยค่าเวชภัณฑ์ ท่านโหดร้าย ท่านโหดมากเลย ท่านแลกทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของพี่น้องประชาชน เพื่อเป้าหมายทางการเมือง" อนุทินกล่าว
เรื่องการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ อนุทินชี้แจงว่า สธ.ดำเนินการตามระเบียบจัดซื้อ บางครั้งเร่งด่วนก็เสนอ ครม. ศบค.ได้รับทราบและเห็นชอบ ยาต่างๆ เกี่ยวกับโควิดขึ้นทะเบียบแบบภาวะฉุกเฉิน เป็นยาที่หาไม่ได้ทั่วไปตามท้องตลาด ผู้ขายเขาขายให้รัฐบาลโดยตรง ไม่ขายให้เอกชน ทำให้องค์การเภสัชกรรมต้องเข้ามาเป็นผู้จัดซื้อ เราใช้ยาที่ได้รับการรับรองจาก WHO ทุกตัว ฟาวิฯ ท่านบอกญี่ปุ่นเลิกใช้ เราก็ซื้อจากญี่ปุ่น ยี่ห้ออเมริกันที่ท่านเสนอ เราก็ซื้อมารักษาผู้ป่วย เอามาใช้ตามข้อแนะนำของคณะแพทย์ที่ร่วมกันพิจารณา โมลนูพิราเวียร์ แพกซ์โลวิด เพิ่งขึ้นทะเบียนเมื่อต้นปีนี่เอง
“ท่านบอกซื้อ AZ เยอะ ก็ต้องเยอะ เราต้องฉีดเสริมภูมิคุ้มกันไม่ใช่ฉีด 4 เข็ม 5 เข็มแล้วหยุด อย่าลืมว่าต้องฉีดเสริมภูมิคุ้มกันอีก บอกมีอยู่แล้ว 50 ล้านโดส เราต้องฉีดภูมิคุ้มกันให้กับ 70% ของประชากรประเทศไทยอาจจะวัคซีนขาด แต่ฐานการผลิตเขาอยู่ในประเทศไทย ถ้ามีความขาดแคลนก็ยังจัดหาได้ ที่สำคัญ AZ ออกรายงานแล้วเรียบร้อย เขาชี้แจงแล้วว่าบูสเตอร์โดสของเขาที่ผลิตในประเทศไทย สามารถให้ภูมิคุ้มกันสูงถึง 73% ไม่ต่างจากวัคซีน mRNA หรือชนิดอื่นๆ ที่มีในโลกนี้ เราก็ต้องเชื่อเพราะเป็นข้อมูลทางวิชาการ”
อนุทินกล่าวต่อวา อย่างไรก็ตามเมื่อพบว่าผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหลายโรคภูมิไม่ขึ้น ดื้อวัคซีน สธ.ก็ได้ไปขอ ครม.ให้ปรับเปลี่ยนดีล จากที่สั่ง AZ 60 ล้านโดส ปัจจุบันส่งมาแล้ว 20 ล้านโดส เมื่อเห็นว่ามียา LAAB- Long Action Antibodies ฉีดเสริมภูมิคุ้มกันและรักษาโรคโควิดได้ดีกว่ากินยาเม็ด กรมควบคุมโรคก็ไปเจรจาและได้รับความร่วมมือจาก AZ ประเทศไทย เปลี่ยนวัคซีนบางส่วนที่สั่งซื้อไป เป็น LAAB