สำนักข่าวเดอะ ฮัฟฟิงตัน โพสต์รายงานว่า เกิดเหตุยิงกันในโรงเรียนทั่วสหรัฐฯ แล้ว 11 ครั้งในช่วง 3 สัปดาห์แรกของเดือนมกราคมปี 2018 โดยครั้งล่าสุดคือวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา นักเรียนวัย 15 ปีก่อเหตุกราดยิงในโรงเรียนจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีก 16 คน
องค์กร Everytown for Gun Safety ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา สหรัฐฯ มีเหตุยิงกันในโรงเรียนเกือบ 300 ครั้ง คิดเป็น 1 ครั้งต่อสัปดาห์ โดย Everytown นิยามคำว่า "เหตุยิงกันในโรงเรียน" ว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีคนใช้อาวุธปืนภายในอาคารเรียนหรือบริเวณโรงเรียน
นอกจากนี้ Everytown เปิดเผยว่า เยาวชนที่ก่อเหตุยิงปืนในโรงเรียนมากกว่าครึ่งหนึ่งเอาปืนมาจากที่บ้าน และการยิงกันในโรงเรียนส่วนใหญ่ก็เกิดจากการปะทะกันหรือมีการทะเลาะเบาะแว้ง กันทางวาจาจนเหตุการณ์บานปลาย ในปี 2015 ผู้เชี่ยวชาญได้เก็บข้อมูลเรื่องผลกระทบจากเหตุยิงกันในโรงเรียนที่มีต่อนักเรียน และพบว่า เหตุยิงกันทำให้นักเรียนบางส่วนตัดสินใจออกจากโรงเรียน อีกทั้งยังกระทบทักษะด้านการรับรู้และพฤติกรรมในโรงเรียน โดยหลังจากเหตุยิงกันในโรงเรียน นักเรียนไปลงทะเบียนเรียเกรด 9 ลดลง และคะแนนการสอบคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษก็ลดลงอย่างต่อเนื่องถึง 3 ปีหลังเกิดเหตุกราดยิง
จากการสำรวจของ Gallup เมื่อปี 2017พบว่า ผู้ปกครองชาวอเมริกันถึง 1 ใน 4 รู้สึกกังวลเรื่องความปลอดภัยของลูกระหว่างที่อยู่ในโรงเรียน และความกังวลของผู้ปกครองพุ่งสูงมากหลังเกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนโคลัมไบน์ เมื่อปี 1999 และสูงขึ้นเป็นระยะๆ หลังเกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนครั้งใหญ่ๆ
สำนักข่าวเดอะ ฮัฟฟิงตันโพสต์ระบุว่า ปัญหาการยิงกันในโรงเรียนดูจะไม่เป็นปัญหาสำคัญนักสำหรับรัฐบาลของนายโดนัล ด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากเขาไม่เคยกล่าวถึงการยิงกันทั้ง 11 ครั้งในปี 2018 ออกมาด้วยตัวเอง มีเพียงเลขาธิการด้านสื่อของทำเนียบขาวออกมาแถลงข่าวว่า นายทรัมป์แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตในเหตุกราดยิงในโรงเรียนที่เคนทักกี และเมื่อปี 2017 เขายังทวีตข้อความแสดงความเสียใจกับการกราดยิงคนละเหตุการณ์กับที่เพิ่งขึ้น