เน็ตฟลิกซ์เพิ่งเปิดเผยรายงานว่า สมาชิกเน็ตฟลิกซ์ในปี 2017 พุ่งสูงขึ้นถึง 117 ล้านบัญชีแล้ว ถือเป็นเส้นทางที่ยาวไกลมากจากการเป็นบริษัทให้เช่าวิดีโอออนไลน์ในปี 1998 โดยเริ่มแรกผู้ใช้สามารถสมัครสมาชิกเน็ตฟลิกซ์และเลือกยืมแผ่นดีวีดีได้ไม่จำกัด แล้วเน็ตฟลิกซ์จะส่งดีวีดีเหล่านั้นไปให้ที่บ้าน
หลังเปิดบริษัทได้ 4 ปี ในปี 2002 มีสมาชิกเน็ตฟลิกซ์อยู่เพียง 700,000 บัญชีเท่านั้น แต่คนก็ยืมดีวีดีกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนปี 2005 มีสมาชิกประมาณ 3,600,000 คน และในปี 2007 เน็ตฟลิกซ์ได้เปิดบริการสตรีมมิงขึ้นมาในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่คนเริ่มเช่าดีวีดีกันน้อยลง
ผู้ก่อตั้งเน็ตฟลิกซ์เปิดเผยว่า พวกเขามีความคิดว่าจะเปิดให้บริการสตรีมมิงมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ความเร็วอินเทอร์เน็ตตอนนั้นยังช้าเกินไป ในปี 2010 เน็ตฟลิกซ์เริ่มขยายตลาดออกไปยังต่างประเทศ จนมีบริการสตรีมมิงเกิดขึ้นมากกว่า 190 ประเทศ แต่จากเดิมเน็ตฟลิกซ์มีคู่แข่งหลักคือ บล็อกบัสเตอร์ บริษัทยักษ์ใหญ่ให้เช่าหนัง เกมส์ และเซ็ตโทรทัศน์ ปัจจุบัน เน็ตฟลิกซ์มีคู่แข่งบริการสตรีมมิงอย่างแอมะซอน หลังแอมะซอนซื้อ LoveFilm และยังเพิ่มบริการวิดีโอสตริมมิงลงไปให้กับสมาชิกแอมะซอนไพรม์ ทำให้แอมะซอนไม่จำเป็นต้องสร้างฐานลูกค้าใหม่เลย แม้จะมาทีหลังเน็ตฟลิกซ์
อย่างไรก็ตาม เน็ตฟลิกซ์มีจุดแข็งก็คือ การผลิตคอนเทนต์เอง ซึ่งเริ่มลงทุนเมื่อปี 2010 เริ่มจากซีรีส์เรื่อง House of Cards ฉายจริงครั้งแรกในปี 2013 หลังจาก House of Cards ประสบความสำเร็จ เน็ตฟลิกซ์ก็มีคอนเทนต์เป็นของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง Orange Is The New Black, The Crown รวมถึง Stranger Things
การผลิตคอนเทนต์เองทำให้ไตรมาสสุดท้ายของปี 2017 เน็ตฟลิกซ์ได้สมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นถึง 8,300,000 บัญชี โดย 6,360,000 บัญชีเป็นผู้ใช้ที่อยู่นอกสหรัฐฯ ซึ่งจำนวนมากสมัครสมาชิกเพื่อดูซีรีส์เรื่อง The Crown ส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้น 186 ล้านดอลลาร์ มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2016 ถึง 3 เท่า
แม้การเติบโตของเน็ตฟลิกซ์จะชะงักไปช่วงเดือนตุลาคมที่มีการขึ้นค่าสมาชิกในอังกฤษและสหรัฐฯ ผลประกอบการที่ดีมากนี้ทำให้เน็ตฟลิกซ์ยิ่งมั่นใจกับการลงทุนมากขึ้น โดยปีนี้เน็ตฟลิกซ์วางแผนว่าจะลงทุนกับการคัดสรรคอนเทนต์ประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์ โดยมากกว่า 1 ใน 4 ของเงินลงทุนจะไปทุ่มให้กับการผลิดคอนเทนต์ของตัวเอง และตั้งเป้าว่า คอนเทนต์ใหม่ๆ จะช่วยดึงดูดสมาชิกใหม่ในต่างประเทศได้มากขึ้น เช่น การผลิตคอนเทนต์ในฝรั่งเศส โปแลนด์ อินเดีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น