ไม่พบผลการค้นหา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม อยู่ในเกมเสี่ยง-เสี่ยงถูกคว่ำในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยมีกลุ่มพรรคเล็ก ในนามกลุ่ม 16 ผนึกกับ พรรคเศรษฐกิจไทย ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นผู้คุมจังหวะการเมืองเป็นตัวแปร

เสี่ยงถูกน็อกหากเกิดอุบัติเหตุในเดือนสิงหาคม เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ ที่เขียนห้ามไม่ให้นายกฯ อยู่เกิน 8 ปี

“นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับ รวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจาก ตำแหน่ง”

ซึ่งเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่าห้ามนายกฯ อยู่เกิน 8 ปี 

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะต้องเจอทั้งสองเกมเสี่ยง จึงเกิดการเคลื่อนไหวของบรรดา ส.ส.พรรคเล็ก ที่เรียกตัวเองว่า กลุ่ม 16 กับ พรรคเศรษฐกิจไทย ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย เป็นกระดูกสันหลัง ออกมาเคลื่อนไหวทั้งใต้ดิน – บนดิน พร้อม ชู พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ขยับอัพเกรดเป็นนายกรัฐมนตรี แทน พล.อ.ประยุทธ์ 

ธรรมนัส วิชญ์ เศรษฐกิจไทย -F5A9-45C0-AE3B-A0CEE242D75F.jpeg

หาก นายกฯ ลุงตู่ เจออุบัติเหตุไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

“ร.อ.ธรรมนัส” ในฐานะเลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ ว่า อยู่ที่ตัวพล.อ.ประวิตร หากถามว่าสามารถเป็นนายกฯ ได้หรือไม่ ความจริงท่านเป็นได้ตลอดเวลา แต่ทุกอย่างอยู่ที่ตัวท่าน ส่วนนายอดุลย์ คงมีความคิดที่อยากให้บ้านเมืองเกิดความสมานฉันท์และเดินหน้าแก้ไขปัญหาในทุกๆ เรื่อง น่าจะเป็นทางออกที่ดี

ด้าน พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย กล่าวว่า "ผมไม่ได้มองใคร ผมมองแค่ พล.อ.ประวิตร เพราะท่านมีความเหมาะสม ที่สามารถจะช่วยประเทศได้ในเวลานี้ เพราะท่านทำงานมาตลอด น่าจะรู้ดีว่าทำอย่างไร” 

รัฐธรรมนูญ 2560 ถูกก่อร่างให้เป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ทำให้เกิดพรรคเล็กปัดเศษ รวมตัวกันต่อรองนายกฯ 

ทั้งที่ รัฐธรรมนูญเป็นดอกผลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างน้อย พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทำ “จดหมายน้อย” ถึงคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)​ ให้ดีไซน์รัฐธรรมนูญมาเพื่อเรา อย่างน้อย 2 ครั้ง 2 ครา  

แต่ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เสี่ยงที่จะติดกับดักรัฐธรรมนูญเสียเอง 

ก่อนหน้านี้ อิทธิฤทธิ์ของรัฐธรรมนูญ ฉบับปราบโกง ยังแผลงศร ใส่พวกเดียวกัน ไม่ว่ากรณี รุกป่า ของ เอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี ที่ต้องถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดชีพ เพราะฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมขั้นร้ายแรง 

แต่ในเวลาเดียวกัน ผู้คุมกฎอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ต้อง “เสียค่าโง่” 

จากกรณีที่ศาลแพ่งสั่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง ขดใช้ค่าเสียหาย 64.1 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย รวมแล้วกว่า 70 ล้านบาท ให้ “สุรพล เกียรติไชยากร” ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อดีต ส.ส.เชียงใหม่ หลังจากแจก “ใบส้ม” หลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562

เพราะ กกต.จังหวัดเชียงใหม่ ตัดสินว่า “สุรพล” ใสซองทำบุญพระสงฆ์ จำนวน 2 พันบาท ในงานทำบุญวันเกิดเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง

จึงได้รายงาน โดย กกต.กลาง ที่กรุงเทพฯ ซึ่งมี “อิทธิพร บุญประคอง” ประธาน กกต.นั่งหัวโต๊ะ เห็นว่า พฤติการณ์ของนายสุรพล เข้าข่ายผิด พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. มาตรา73 (2) ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิวัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด

สุดท้าย “สุรพล” ถูกแจกใบส้ม โดยระงับสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งชั่วคราว 1 ปี ก่อนการประกาศผลเลือกตั้ง พร้อมทั้งสั่งเลือกตั้งใหม่ โดยพรรคของผู้สมัครที่ถูกใบส้มจะไม่สามารถส่งคนลงเลือกตั้งได้ใหม่

แกะไส้ใน “อำนาจ” การแจกใบส้มตามรัฐธรรมนูญ นั่นเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา มาตรา 224 (4) ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีหน้าที่

สั่งระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือก ไว้เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปี เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้นั้นกระทา การหรือรู้เห็นกับการกระทาของบุคคลอื่น ที่มีลักษณะเป็นการทุจริต หรือทาให้การเลือกตั้งหรือการเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม

ประกอบ มาตรา 225 ระบุว่า ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งหรือการ เลือก ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งหรือการเลือกนั้นมิได้ เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมี อานาจสั่งให้มีการเลือกตั้งหรือการเลือกใหม่ในหน่วยเลือกตั้งหรือเขต เลือกตั้งน้ัน ถ้าผู้กระทาการนั้นเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับ เลือก แล้วแต่กรณี หรือรู้เห็นกับการกระทาของบุคคลอื่น ให้ คณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นไว้เป็นการชั่วคราวตามมาตรา 224 (4)

สุรพล เกียรติไชยากร  ชลน่าน.jpg

กรณีค่าโง่ กกต. นอกจาก “สุรพล” ในฐานะ “ผู้เสียหาย” ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายรวมดอกเบี้ยปาไปกว่า 70 ล้านบาทแล้ว ยังจะดำเนินคดีอาญาตามประมวลกฎหมายมาตรา 157 อีกด้วย

ทั้ง 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วกับ เอ๋ ปารีณา กรณีรุกป่า จนขัดมาตรฐานจริยธรรม กรณี “ค่าโง่ กกต.” ที่ “กรรมการการเลือกตั้ง” อาจจะต้องรับผิดชอบ ทั้งแพ่งและอาญา

รวมถึงกับดักนายกฯ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ ล้วนเกิดจากรัฐธรรมนูญดีไซน์มาเพื่อเราทั้งสิ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง