วันที่ 5 พ.ค. 2565 พรรคเพื่อไทย นำโดย ดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ส.ก. นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีต ส.ส.แพร่และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ธนพร กนกกุล ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางซื่อ เบอร์ 5 ร่วมกันลงพื้นที่ตลาดเตาปูน เขตบางซื่อ เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน แนะนำผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคเพื่อไทย พร้อมรับฟังปัญหาจากพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนถึงวิกฤตปากท้องพี่น้องประชาชน ในยุคน้ำมันแพง สินค้าแพงแต่ค่าแรงตกต่ำ จนเศรษฐกิจฝืดเคืองค้าขายยากลำบาก
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้นำเสนอแนวนโยบาย ‘ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า’ แก้ปัญหาให้คนกรุงเทพฯ ด้วย 5 นโยบายหลัก คือ กองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี , 50 เขต 50 โรงพยาบาล , 30 บาทถึงที่หมาย , 437 สถานศึกษาพัฒนาสร้างรายได้ และ 50 เขต 50 ซอฟต์เพาเวอร์ เพื่อนำไปสู่การคืนความมั่นคั่งให้คนกรุงเทพฯ
โดยพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันถึงสถานการณ์เศรษฐกิจที่ทำให้พี่น้องประชาชนยากลำบากถ้วนหน้า ปัญหาสินค้าราคาแพง ทำให้ค้าขายยากลำบาก อีกทั้งรายจ่ายของพี่น้องประชาชนยังสูงขึ้น ในขณะที่รายได้กลับไม่เพิ่มขึ้นและหลายคนยังขาดงานขาดรายได้ จึงฝากพรรคเพื่อไทย ขอให้ช่วยหาทางลดค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่ารถโดยสารสาธารณะซึ่งเป็นรายจ่ายที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งพื้นที่ย่านตลาดเตาปูน เขตบางซื่อ เป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าและรถโดยสารสาธารณะหลายเส้นทาง ซึ่งหลายคนต้องเดินทางไปในจุดต่างๆ ทำให้ต้องจ่ายค่าโดยสารรถสาธารณะหลายทอด
ดนุพร กล่าวว่า ในอดีตพื้นที่ตลาดเตาปูนค่อนข้างคึกคัก แต่ปัจจุบันเงียบเหงาลงไปมาก บางร้านปิดตัวและบางร้านประกาศเซ้งกิจการ ซึ่งน่าจะมาจากปัญหารายได้จากการค้าขายไม่พอกับค่าใช้จ่าย พรรคเพื่อไทยมีนโยบายในการ ‘ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า’ เพื่อแก้ปัญหาให้คนกรุงเทพฯ ดังนั้นหากพี่น้องประชาชนต้องการให้นโยบายของพรรคเพื่อไทย สามารถทำได้จริง ก็ขอให้พิจารณาเลือกผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคเพื่อไทยให้ชนะให้มากที่สุด ให้ชนะขาดให้เกินครึ่ง เพื่อให้เรามีเสียงในสภา กทม. จำนวนมากพอเพื่อผลักดันนโยบายเหล่านี้ให้เป็นจริง
ธนพร กนกกุล ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางซื่อ เบอร์ 5 กล่าวว่า ปัจจุบันภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนสูงอยู่แล้ว ยังต้องมาแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการค่าเดินทางในแต่ละวันอีก ซึ่งถ้าเราสามารถผลักดันนโยบาย ‘30 บาทถึงที่หมาย’ ได้ ก็จะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องประชาชนได้อย่างมาก จึงขอโอกาสเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนไปผลักดันนโยบายนี้ให้เป็นจริง