เพียงชั่วข้ามคืน ปรากฎการณ์ 'ผึ้งแตกรัง' กลุ่มแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติได้กระจายตัวหาที่หลบภัยตามภูมิลำเนา เพราะรัฐบาลไม่ได้การันตีเลยว่าพวกเขาจะเอาอะไรยังชีพและเลี้ยงปากท้อง นอกเหนือจากคำว่า 'ขอความร่วมมือ' ที่พวกเขาแบกรับ
ในสัปดาห์ที่ 1-2 ของเดือนกรกฎาคม ตัวเลขผู้ติดเชื้อแทบทุกจังหวัดเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และมีหลายจังหวัดที่ก้าวสู่หลักร้อยต่อวัน
แม้แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ แต่สำหรับภาคอีสาน นับเป็นความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตสาธารณสุขในพื้นที่ เนื่องจากทรัพยากรด้านสาธารณสุข ทั้งปริมาณและคุณภาพอยู่ในขั้นต่ำกว่าในเมือง
ตัวอย่าง 8 จังหวัดที่ 'วอยซ์' สำรวจ ได้แก่ นครราชสีมา อุดรธานี ขอนแก่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี มหาสารคาม บุรีรัมย์
ขณะเดียวกันกลุ่มแรงงานพลัดถิ่นต้องตกที่นั่งลำบากอีกครั้ง เมื่อเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ ได้เผยแพร่เอกสารฉบับหนึ่งจากกรมการจัดหางาน เรื่องแจ้งยกเลิกโครงการช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติด้านสาธารณสุข ที่ส่งไปยังผู้อำนวยการสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10
โดย สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งให้ยกเลิกการสำรวจและคัดกรองผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มแรงงานต่างชาติในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ประจักษ์ให้เห็นถึงเสียงก่นด่าและประณามการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล
กลายเป็นคำถามทิ่มไปยังรัฐบาล เมื่อการเยียวยาจากภาครัฐยังไม่ทันสะเด็ดน้ำ ขั้นตอนระบบข้าราชการไทยที่ผู้คนยากเข้าถึง หมอกฝุ่นของการเยียวยายังคงล่องหนราวกับสวัสดิการทิพย์
ท่ามกลางเสียงสวดของประชาชน 'กระทรวงแรงงานมีไว้ทำไม' กลุ่มภาคประชาชนที่เข้าไปเยียวยาเพื่อนมนุษย์กันเอง กำเนิดขึ้นในชื่อ 'กลุ่มคนดูแลกันเอง'
พวกเขาเป็นอาสามัครที่เข้ามาดูแลกลุ่มคนงานที่ถูกทิ้งไว้หลังโลก Bubble and Seal ที่ประสบวิกฤตขาดแคลน อาหาร ยา สิ่งของ ตลอดจนเวชภัณฑ์ ด้วยสำนึกทางชนชั้นแรงงานว่าเป็นฟันเฟืองพัฒนาประเทศ แต่กลับถูกจัดลำดับความสำคัญไว้ท้ายแถว
แม้ว่ากระทรวงแรงงานจะออกมาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาในภายหลัง ด้วยการออกมาตราจ่ายเงินชดเชยแก่แรงงานของสถานประกอบการที่ถูกปิดแบบ Bubble and Seal ตามคำสั่ง ศบค. 50% ของค่าจ้าง แต่ก็เป็นเฉพาะแรงงานในระบบประกันสังคมเท่านั้น (ไม่รวมแรงงานต่างชาติที่ไม่อยู่ในระบบจำนวนมาก) โดยมุ่งเยียวยาไปที่ 9 ประเภทกิจการ ได้แก่
จากภาพหลายชีวิตถูกลอยแพ หลากชีวิตต้องถูกตีตราและหวาดระแวงจากคนรอบข้าง ด้วยประการนี้ 'วอยซ์' จึงรวมเสียงของกลุ่มแรงงานไทยและต่างชาติ ผู้เปราะบางที่ต้องเผชิญยถากรรมใต้ฎีการัฐไทย
"ตอนนี้ต้องกักตัว 14 วัน เรื่องเยียวยาและการชดเชย ผมไม่รู้เรื่องเลย เพราะนายจ้างไม่ได้แจ้งอะไร"
ซอ แรงงานชาวเมียนมา เล่าชะตาชีวิตกับ 'วอยซ์' หลังที่ทำงานของเขากลายเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ปัจจุบันเขาเป็นลูกจ้างโรงงานแปรรูปอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานี ซึ่งมีแรงงานไทยและต่างชาติรวมกันราว 1,000 คน
ความเป็นอยู่ของแรงงานต่างชาติจะแยกออกมาอาศัยในแคมป์คนงาน แบ่งเป็น 1 ห้องนอนต่อ 4 คน มีผู้อาศัยอยู่ร่วมกันราว 200 คน บางครอบครัวก็มีเด็กเล็กอาศัยอยู่ด้วย
หลังเกิดการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 เขาเล่าว่า ความเป็นอยู่ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แรงงานต่างชาติในโรงงานแปรรูปอาหารยังคงอาศัยร่วมกันในที่พัก กระทั่งระลอกเมษายนที่เริ่มระบาดตามแคมป์คนงานก่อสร้างหลายแห่ง แคมป์ของ 'ซอ' ก็เริ่มมีผู้ติดโควิดเป็นแรงงานเมียนมาเช่นเดียวกัน
เขาบอกอีกว่า ที่ผ่านมานายจ้างกลับปกปิด ไม่เคยแจ้งให้คนงานรับรู้เลยว่า ก่อนหน้านี้โรงงานของเขามีแรงงานคนไทยติดไปแล้ว ทุกคนยังคงทำงานกันโดยไม่รับรู้ว่าจะมีข่าวร้ายมาถึง
"มีนายจ้างและเจ้าหน้าที่ โทรมาบอกว่าให้พวกเรากักตัวไปก่อน 14 วัน ส่วนคนติดโควิด ตอนนั้นเขาก็ยังอยู่ในแคมป์ แต่อยู่กันคนละห้อง"
"ตอนที่รู้ข่าว จิตใจคนในแคมป์ย่ำแย่มาก เพราะกังวลกันว่าจะติดเชื้อไหม เราคาดเดากันไปโดยไม่ได้รับการตรวจ บางคนเป็นสามี-ภรรยาก็ต้องมาระแวงว่าอีกฝ่ายมีเชื้อโควิดไหม" ซอ เปลือยความรู้สึกอัดอั้น
ไม่เพียงแต่ความหวาดระแวงในกลุ่มแรงงาน พวกเขายังกลายเป็นคนแปลกหน้าในชุมนุมละแวกใกล้เคียง หลังชาวบ้านเริ่มรู้ข่าวว่ามีผู้ติดเชื้อ ร้านรวงที่เคยจับจ่ายซื้อของก็เริ่มไม่อยากขายให้
"คนที่กักตัวอยู่ในแคมป์เวลาไม่มีของกิน พอออกไปซื้อเขาก็ถามว่าทำงานที่ไหน ถ้าตอบว่ามาจากโรงงาน เขาก็จะไม่ขายให้"
"ทราบมาว่าหลังกักตัวเสร็จจะมีการเปิดโรงงานอีกครั้ง แต่ถ้าไม่มีความปลอดภัย ไม่มีความโปร่งใส ก็ไม่มีใครอยากไปทำงาน" ซอ หวังได้รับการเหลียวแล
สถานการณ์ในแคมป์เริ่มคลายความตึงเครียดเมื่อผู้ป่วยถูกนำตัวออกไปรักษา ขณะที่ซอและเพื่อนแรงงานได้รับการฉีดวัคซีนไปเมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา ซอและเพื่อนร่วมชะตากรรมยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายในแคมป์ต่อไป
ทว่าการยกระดับมาตรการความปลอดภัยภายในที่พักยังไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลง ทุกคนยังคงใช้ชีวิตเช่นเดียวกับอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีการเข้ามาทำความสะอาดหรือพ่นยาฆ่าเชื้อ
ตอนนี้สิ่งที่ซอและเพื่อนแรงงานต้องการ คือ ความชัดเจนจากทางโรงงานกรณีเงินชดเชย เพราะพวกเขาไม่รู้เลยว่าจะเงินที่มีอยู่จะพยุงชีวิตไปได้อีกกี่วัน
"อยู่กันลำบากมาก เงินชดเชยก็ไม่มี บางครอบครัวต้องดิ้นรนด้วยการทำอาหารหรือขนมพื้นเมือง (เมียนมา) ขายกันเองในแคมป์ เพื่อหารายได้ประทังชีวิต"
เขาเล่าอีกว่ากลุ่มแรงงานข้ามชาติ ส่วนใหญ่ไม่ได้มีเงินเก็บเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะต้องโอนเงินไปให้ครอบครัวที่บ้านเกิด หลังจากกักตัวมากว่า 2 สัปดาห์ หลายคนเริ่มไม่เงินหมุนเวียน โดยเฉพาะคนที่มีครอบครัวยิ่งประสบปัญหาหนัก
แม้ว่าจะพยายามสอบถามไปยังนายจ้าง เพื่อทวงถามสิทธิและระยะเวลาการปิดโรงงาน แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน เนื่องจากนายจ้างบอกว่าต้องขึ้นอยู่กับคำสั่งของทางจังหวัด
"ตอนนี้เหมือนถูกลอยแพ ไม่มีการเยียวยาอะไรเลย อยากให้นายจ้างหรือหน่วยงานรัฐเข้ามาดูแลในเรื่องอาหารหรือการชดเชยโดยเร็ว"
"เคยได้ยินว่าเขาจะมาฉีดวัคซีนให้ แต่ตอนนี้ก็เงียบไปแล้ว"
มินห์อู แรงงานเมียนมาวัย 32 ปี เล่าถึงมิติความเป็นอยู่ในแคมป์คนงานย่านพระราม 3 ซึ่งมีผู้อยู่อาศัยหลากหลายสัญชาติ รวมกว่า 400 คน
เขาเล่าต่อว่าตอนนี้ถูกจำกัดพื้นที่มากว่า 20 วัน เนื่องจากเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แคมป์ที่เขาอาศัยอยู่มีผู้ติดเชื้อกว่า 100 ราย ซึ่งเขาคือหนึ่งในนั้น
หลังจากรักษาตัวจนพ้นภาวะติดเชื้อ เขายังใช้ชีวิตต่อไปภายในแคมป์คนงาน เนื่องจากภาครัฐได้ปูพรมเฝ้าระวังความเสี่ยง โดยการ 'ล็อกดาวน์แคมป์คนงาน' ไม่ให้เข้า-ออก หลายแห่ง
เป็นหนึ่งคำถามที่พุ่งไปยังรัฐบาล ว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไร เมื่อการนำเข้าวัคซีนเริ่มเดินหน้า แต่ความชัดเจนของนโยบายแรงงานข้ามชาติยังเลือนลางอยู่
"ถ้ารัฐบาลฉีดผมก็อยากให้ฉีดทั้งหมดไม่อยากให้แบ่งแยกว่า คนนี้ไทย คนนี้พม่า คนนี้ลาว" แรงงานผู้พลัดถิ่นบอกสิ่งที่เขาต้องการ
“ปิดหนึ่งเดือนนี่ตายเลย จะอยู่จะกินยังไงประชาชน ยิ่งหาเช้ากินค่ำยังงี้ ไม่ได้ทำงานก็อดตาย”
สร้อย ดาบจันทร์ แรงงานจากสุรินทร์ ตัดพ้อชีวิตหลังจากไซต์งานประจำที่ก่อสร้างถนนใน จ.ฉะเชิงเทราถูกสั่งปิด 1 เดือน จากมาตรการป้องกันโควิดจากรัฐบาล ในฐานะแรงงานอิสระ
เขาต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อเตรียมตัวออกมายืนรองานที่ตลาดกีบหมู เขตมีนบุรี ที่เสมือนแหล่งรวมพลแรงงานก่อสร้างรายวัน ทั้งชาวไทยและแรงงานข้ามชาติ เพื่อให้นายจ้างมาคัดสรร
“มีแต่ทำงานวันนี้ได้เงินตอนเย็น ประกันสังคมก็ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น ต้องดิ้นรนเอาเอง”
อีกคำสำทับจาก 'พร คำหล่อ' แรงงานจากอุบลราชธานี เขาเป็นหนึ่งในแรงงานที่ไม่มีประกันสังคมเช่นเดียวกับอีกหลายร้อยที่ออกมายืนรองานด้วยความหวัง ผลพวงของการประกาศห้ามทำการก่อสร้าง ภาพคุ้นชินของความหวังกลับเลือนหาย เมื่อไม่มีรถกระบะของผู้รับเหมาหลายสิบคันมาจอดรับแรงงานเช่นในอดีต
“ค่าห้องก็มาแล้ว จะต้นเดือนยังไม่มีค่าห้อง ถึงวันที่ 6 ถ้าไม่มีจ่ายเขาก็ไล่ออก” แรงงานจากอุบลราชธานีส่งเสียงบ่นหลังยืนรองานมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า พร้อมกับเพื่อนๆ แรงงานผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันอีกนับร้อยชีวิตบริเวณตลาดกีบหมู
“สงสัยนายจ้างเขาไม่กล้าออกมารับคนวันนี้ กลัวโดนเรื่องโยกย้ายคนงาน” พร ส่งเสียงผิดหวังก่อนเดินกลับไปยังห้องเช่าที่ผุพัง
ย้อนไปเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2564 'นภสร ทุ่งสุกใส' ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงไตรมาส 1/2564 มีแรงงานที่ต้องออกจากระบบประกันสังคม ตามมาตรา 33 แล้วกว่า 1 ล้านคน
ขณะที่ก็มีแรงงานบางส่วนที่สามารถกลับเข้ามาในระบบประกันสังคม รวมถึงแรงงานที่ได้รับการจ้างงานใหม่รวมกว่า 700,000 คน ส่วนที่เหลือกลายเป็นแรงงานนอกระบบ อาชีพอิสระ หรือไปอยู่ในภาคเกษตร เป็นต้น
ขณะที่สถานการณ์แรงงานพลัดถิ่น จากสถิติของเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group) เดือน ส.ค. 2563 แรงงานข้ามชาติทั่วประเทศ ต้องเข้าสู่ระบบประกันสังคม 1.7 ล้านคน แต่พบว่ามีเพียง 1.05 ล้านคน และคาดว่าแรงงานหายไปจากระบบเกือบ 700,000 คน หรือ 34 %
'อดิสร เกิดมงคล' เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ บอกกับ 'วอยซ์' ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ทุกแคมป์คนงานตอนนี้มีความเสี่ยงเกือบทุกแห่ง โดยเฉพาะแคมป์ขนาดเล็กมักจะถูกมองข้ามในการเข้าไปตรวจตรา อีกทั้งข้อจำกัดด้านสาธารณสุขของภาครัฐ ทำให้ยากต่อการเข้าถึงการรักษา แม้ว่าบางรายจะมีสิทธิประกันสังคม แต่ที่น่าวิตกคือกลุ่มที่ไม่มีสิทธิเข้าถึงอาจจะหลุดรอดออกไปแพร่เชื้อได้
ที่ผ่านมา 'อดิสร' เผยว่าแรงงานข้ามชาติ มีผู้เสียชีวิตทุกสัปดาห์ โดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะ 1.ได้รับเชื้อแล้วเสียชีวิตระหว่างเข้ารับการรักษา 2.เสียชีวิตระหว่างรอการเข้าถึงการรักษา
เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ ได้เสนอแนวทาง 4 ประการ ประกอบไปด้วย
1.รัฐบาลต้องเร่งเปิดจดทะเบียนให้แรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารลงทะเบียน เพื่อเข้าถึงการรักษาปิดช่องโหว่การแพร่ระบาด
2.ในภาวะขาดแคลนเตียงรักษา รัฐต้องมีการเข้าไปสื่อสารและออกมาตรการให้ชัดเจนว่าจะดำเนินการจัดตั้ง รพ.สนามในแคมป์คนงานอย่างไร
3.เงินชดเชยที่เหมาะสม เพื่อให้กลุ่มแรงงานเชื่อใจได้ว่า แม้พวกเขาถูกกักตัวและไม่มีรายได้รัฐจะดูแลพวกเขาได้
4.รัฐบาลต้องเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายเข้าไปแลกเปลี่ยนความเห็น เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม
"ที่ผ่านมาเราก็เสนอโมเดลไปที่กระทรวงแรงงานและสํานักนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากทางภาครัฐ อาจจะขัดกฎระเบียบหรือปัญหาส่วนใดก็ไม่ทราบ มันเลยนำไปสู่การออกนโยบายที่ไม่มีส่วนร่วมจากภาคประชาชนเลย" อดิสร กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งหมดคือภาพสะท้อนยถากรรมชีวิตแรงงานที่ถูกทำให้ล่องหนเหมือน 'ฝุ่น' และแรงฮึดจากภาคประชาชนที่พยายามทวงถามความเป็นมนุษย์ในรัฐที่กำลังติดเชื้อ