การเว้นระยะห่างโต๊ะนักเรียนในโรงเรียน กำหนดให้สวมหน้ากากอนามัย และแอปพลิเคชันติดตาม ถูกนำมาในหลายเมืองของจีนตั้งแต่ศูนย์กลางการเงินอย่างนครเซี่ยงไฮ้ไปจนถึงมณฑลเฮยหลงเจียงทางตอนเหนือของประเทศ และด้วยข้อสรุปจากผู้เชี่ยวชาญจีนที่ว่าไม่สามารถขจัดไวรัสให้หมดสิ้นไปได้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลจึงให้ความสำคัญต่อการพยายามทำให้การติดเชื้ออยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ เพื่อป้องกันไม่ให้จำนวนผู้ติดเชื้อมากจนโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับไหว โดยการรักษาสมดุลระหว่างการปล่อยให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตปกติไปพร้อมกับควบคุมให้จำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับต่ำ ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลทั่วโลก รวมถึงอิตาลีและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่เผชิญการระบาดอย่างหนักพยายามทำ
แม้จีนจะมีเครื่องมืออันทรงพลังที่หลายประเทศไม่มีอย่างการสอดแนมโดยรัฐและการควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชน แต่ก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จ โดย 'นิโคลัส โทมัส' ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงมองว่า ในขณะที่จีนกลับมาเริ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมใหม่ก็ยังมีสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ที่อาจนำไปสู่การระบาดของโรคได้อีก
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่าหลายเมืองของจีนได้พยายามใช้มาตรการป้องกันการระบาดระลอกสอง ดังนี้
จัดการความเสี่ยงบริเวณชายแดน
การเดินทางอย่างอิสระทั่วโลกดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากในยุคหลังโควิด-19 เนื่องจากประเทศต่างๆ กังวลเรื่องผู้ติดเชื้อนำเข้าที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อระลอกใหม่ ชาวต่างชาติเกือบทั้งหมดถูกห้ามเข้าจีนในขณะที่พลเมืองจีนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศจะต้องถูกกักตัวอย่างน้อย 2 สัปดาห์
ส่วนเมืองที่มีการควบคุมเข้มงวดที่สุดเช่นกรุงปักกิ่ง บังคับใช้กฎเพิ่มเติมด้วยการให้กักตัวที่บ้านอีก 7 วันหลังจากนั้น ชาวกรุงปักกิ่งคนใดก็ตามที่อยู่ในระหว่างการแยกตัวสังเกตอาการอยู่บ้านอาจปลุกให้เกิดสัญญาณแจ้งเตือนขึ้นมาเพียงแค่พวกเขาเปิดประตูหน้าบ้านออกมาเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็มีการสนับสนุนให้บรรดาเพื่อนบ้านรายงานเมื่อมีคนออกจากบ้าน ซึ่ง 'หวง หยางจง' ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสาธารณสุขโลก มหาวิทยาลัยเซตันฮอล รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา มองว่าเหตุผลที่ทำให้มาตรการในกรุงปักกิ่งมีความเข้มงวด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนี่คือเมืองหลวง ผู้นำรัฐบาลจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นี่ และพวกเขาก็ต้องพิจารณาถึงความกังวลเรื่องผลกระทบทางการเมืองและเสถียรภาพทางสังคม
พื้นที่อื่นๆ ของจีนที่มีการจำกัดการเดินทางเข้มงวดยังรวมถึงมณฑลเฮยหลงเจียง ซึ่งพบคลื่นผู้ติดเชื้อเป็นผู้ที่ข้ามแดนทางบกมาจากรัสเซีย โดยล่าสุดได้มีข้อกำหนดให้นักเดินทางลักษณะนี้ต้องกักตัวเป็นเวลา 35 วัน จำกัดการทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม ในศูนย์กลางทางการเงินอย่างนครเซี่ยงไฮ้แทบจะไม่มีการบังคับใช้ข้อจำกัดใดๆ กับนักเดินทางภายในประเทศซึ่งน่าจะเป็นเพราะจำเป็นต้องเปิดกว้างสำหรับการลงทุน
รายงานระบุว่า นักข่าวของสำนักข่าว Bloomberg เดินทางจากมณฑลหูเป่ยซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดไปยังนครเซี่ยงไฮ้ไม่พบข้อจำกัดเฉพาะใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการกักตัวหรือแม้แต่การขอให้ตรวจหาเชื้อเมื่ออยู่ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งแนวทางของนครเซี่ยงไฮ้น่าจะถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากทางการของเมืองอื่นๆ ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินไม่ว่าจะเป็นนครนิวยอร์กหรือกรุงโตเกียว ที่การขับเคลื่อนของเมืองเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับการเดินทางภายในที่เปิดเสรี
การตรวจเป็นวงกว้างเพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อ
ขณะที่หลายประเทศยังเผชิญความยากในการตรวจหาเชื้อทุกคนที่ดูเหมือนมีอาการป่วย หลายเมืองของจีนตอนนี้กำลังพยายามให้ประชาชนรับการตรวจหาเชื้อก่อนกลับไปทำงาน โดยที่มณฑลหูเป่ยและนครกว่างโจว บริษัทต่างๆ ขอให้พนักงานที่จะกลับมาทำงานเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส ส่วนในนครเซี่ยงไฮ้มีบริการตรวจหาเชื้ออยู่ทั่วเมืองซึงบริษัทและบุคคลทั่วไปสามารถจองคิวได้ตามโรงพยายามและคลินิกต่างๆ
ผู้อำนวยการหน่วยงานโรคติดเชื้อของโรงพยาบาลเซี่ยงไฮ้หัวซานเผยว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านคลินิก โรคติดเชื้อและศูนย์ควบคุมโรคของท้องถิ่น ประสานงานกันเพื่อระบุตัว วินิจฉัยและแยกผู้ติดเชื้อตั้งแต่เนิ่นๆ ตามด้วยการติดตามผู้สัมผัสเชื้ออย่างรวดเร็วและกักตัวเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในชุมชน
ใช้แอปพลิเคชันค้นหาและติดตาม
จีนได้ผสานพลังของระบบสอดแนมและบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่เพื่อติดตามเฝ้าดูผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อ ซึ่งนี่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในโลกประชาธิปไตยในตะวันตกจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว
ฟังก์ชันติดตามและเฝ้าระวังสุขภาพถูกสร้างขึ้นในแอปพลิเคชันสมาร์ตโฟนจากกลุ่มอาลีบาบาและเทนเซ็นต์ซึ่งเป็นสองบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยดึงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาล ผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ ตำแหน่งที่ตั้งและการทำธุรกรรม เพื่อประเมินระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล โดยผลลัพธ์ที่ได้คือประชาชนหลายล้านคนต้องแสดงโค้ดสีต่างๆ ได้แก่ แดง เหลืองและเขียว ซึ่งได้จากการประเมิน ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า รถไฟใต้ดินและอาคารที่พักอาศัย ซึ่งโค้ดเหล่านี้จะถูกอัพเดทอยู่เป็นประจำโดยโค้ดสีเขียวที่หมายถึงสามารถเดินทางเคลื่อนย้ายอย่างอิสระก็อาจหายไปได้อย่างง่ายดายหากบุคคลนั้นเพียงแค่เข้าไปในห้างสรรพสินค้าที่มีผู้ติดเชื้อคนหนึ่งเคยไป ซึ่งจะทำให้โค้ดเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและทำให้บุคคลดังกล่าวต้องกักตัวเองอยู่บ้าน
ยังคงเฝ้าระวังต่อเนื่อง
แม้มีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ แต่จีนดำเนินการอย่างระมัดระวังในขั้นตอนต่างๆ หลายเมืองยังคงไม่อนุญาตให้โรงภาพยนตร์ โรงละครและบาร์เปิดทำการอีกครั้ง การสวมหน้ากากอนามัยที่เคยเป็นทางเลือกเพื่อการป้องกันตัวเองได้กลายเป็นข้อบังคับเมื่ออยู่ในที่ทำงานและระบบขนส่งสาธารณะ
เว็บไซต์ World Economic Forum ระบุว่ากฎการเว้นระยะห่างทางสังคมยังคงถูกบังคับใช้ในสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ แต่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งเริ่มเปิดให้เข้าชมอีกครั้ง โดย 'หอกระเรียนเหลือง' (Yellow Crane Tower) สถานที่ทางประวัติศาสตร์ในเมืองอู่ฮั่นซึ่งเคยเป็นเมืองศูนย์กลางการแพร่ระบาดจะเปิดทำการอีกครั้งในสัปดาห์นี้ โดยความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นในขณะที่ทางการประกาศว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 รายสุดท้ายได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลของอู่ฮั่นแล้ว
ขณะเดียวกัน นักเรียนมัธยมปลายหลายพันคนในกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ได้กลับไปเรียนที่โรงเรียนแล้วเมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา ท่ามกลางมาตรการรักษาสุขอนามัยเข้มงวดที่รวมถึงการสวมหน้ากาก ลดขนาดชั้นเรียนและจัดเวลาพักกลางวันในโรงอาหารของโรงเรียนให้เหลื่อมกัน
มณฑลเฮยหลงเจียงเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อระลอกใหม่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด โดยนับตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. มีรายงานผู้ติดเชื้อนำเข้าในเฮยหลงเจียงแล้วกว่า 370 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนที่ข้ามแดนมาจากรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าจนถึงตอนนี้การเปิดเมืองบางส่วนยังไม่ได้นำไปสู่คลื่นผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วประเทศอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งก็อาจทำให้ประเทศอื่นมีความหวังในขณะที่เริ่มวางแผนลดระดับการล็อกดาวน์ของตัวเอง โดยผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกระบุว่า ไม่มีใครต้องการเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นอีกครั้งจากการเร่งยกเลิกมาตรการควบคุมเร็วเกินไป พร้อมเตือนว่าประชาชนและสังคมจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับวิถีชีวิตแบบใหม่
จนถึงตอนนี้ มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมล่าสุดในจีนอยู่ที่ 82,858 ราย โดยมีผู้เสียชีวิต 4,633 ราย และรักษาหายแล้ว 77,578 ราย ขณะที่ล่าสุด สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สภาประชาชนแห่งชาติจะจัดประชุมประจำปีในวันที่ 22 พ.ค. โดยตามกำหนดเดิมการประชุมจะต้องมีขึ้นเมื่อวันที่ 5 มี.ค. แต่ก็ถูกเลื่อนไปเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งยังถือเป็นครั้งแรกที่จีนเลื่อนการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ การประกาศวันประชุมใหม่ครั้งนี้จึงถูกมองเป็นสัญญาณความมั่นใจของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่าสถานการณ์การระบาดอยู่ภายใต้การควบคุมแล้วเป็นส่วนใหญ่
อ้างอิง Bloomberg / World Economic Forum / CNA