วันที่ 31 ตุลาคม 2565 สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมเสนอร่างกฎกระทรวงการ ตามมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน เปิดโอกาสให้คนต่างด้าว หรือนักลงทุนชาวต่างประเทศ ได้สิทธิซื้อที่ดินในประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ในธุรกิจหรือกิจการประเภทหนึ่งประเภทใด และต้องดำรงการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี ถึงจะได้สิทธิขอถือครองที่ดิน เพื่ออยู่อาศัยไม่เกิน 1 ไร่ ภายในเขตกรุงเทพฯ เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาล ถือว่าพลเอกประยุทธ์สารภาพว่าจนแต้มหมดปัญญาหารายได้เข้าประเทศแล้ว

ส่วนที่กระบอกเสียงรัฐบาล อ้างว่าในต่างประเทศก็มีกฎหมายลักษณะนี้เช่นกัน หลายประเทศก็จูงใจนักลงทุนสามารถขอถือสิทธิ์การพำนักอาศัยถาวร จนเป็นสิทธิพลเมืองนั้นได้ การออกมากล่าวเช่นนี้เป็นการพูดแบบไม่รู้จริงและไม่เคยศึกษาข้อเท็จจริง ทั้งนี้ในต่างประเทศที่ที่มีกฎหมายฉบับนี้เช่นกันนั้นให้ไปดูว่าคนที่จะเข้าร่วมโครงการในลักษณะดังกล่าว ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ ไม่ใช่เสียแบบประเทศไทย ดังนั้นหากจะหาข้ออ้างควรศึกษาให้รู้จริงไม่อย่างนั้น ประเทศไทยจะเสียมากกว่าได้

สงคราม กล่าวด้วยว่า กรณีที่อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาคือ นายกฯ ที่กอบกู้ชาติ คงจะจริงเพราะกู้ทั้งในและต่างประเทศ หากที่ผู้นำเข้ามาเจรจาด้วยก็จะหาโอกาสในการเจรจากู้เงิน พล.อ.ประยุทธ์กู้มหาศาลจนถึงวันนี้กู้ไปแล้ว 10 ล้านล้าน จนประชาชนมองว่ารัฐบาล กู้เงินชาตินี้ชาติหน้าก็ใช้หนี้ไม่หมด และกำลังจะกู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้าน กู้เพื่อมาโปะงบประมาณ ยิ่งอยู่ยิ่งแย่เศรษฐกิจพัง สังคมแย่ การใช้เงินกู้ไม่ได้เกิดประโยชน์เพราะกู้มาก็หมดไปกับการคอรัปชั่น กู้มาแจก ไม่มีผู้นำประเทศไหนเขาทำกัน

“ ส่วนที่อ้างโครงการจำนำข้าวเสียหาย จึงอยากถามกลับไปว่า งบประมาณในโครงการประกันรายได้ถึงวันนี้ใช้เงินเกือบ 500,000 ล้านบาท ทำไมชาวนายังจน ต่างจากโครงการจำนำข้าวที่เงินอยู่กับประชาชน นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังออกมายอมรับว่าโครงการจำนำข้าวคือการช่วยเหลือประชาชน การจะอวยอะไรช่วยไปศึกษาข้อมูลด้วยหรือไปถามชาวนาว่าตั้งแต่รัฐบาลนี้มาความเป็นอยู่เขาแย่ลงแค่ไหน อย่าหลับหูหลับตาเชียร์จนออกนอกหน้าเลย ไม่อายชาวบ้านก็ควรอายตัวเองบ้าง” สงคราม กล่าว