ไม่พบผลการค้นหา
นายกฯ โพสต์เฟซบุ๊กอวยพรในวันสงกรานต์ เชื่อคนไทยจะรักสามัคคีผ่านพ้นภัยคุกคาม ยันตัวเองพร้อมร่วมมือทุกฝ่ายพัฒนาประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ เชื่อเป็นสงกรานต์แห่งความหวัง ชำระล้างทุกข์ยาก พร้อมโชว์ผลงานการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คาดปี 2565 ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.3-1.8 ล้านล้านบาท ขณะที่ยอดผู้ติดโควิดรายใหม่ 23,015 ราย ตายเพิ่ม 106 ราย

วันที่ 13 เม.ย. 2565 ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอวยพรในโอกาส “ปีใหม่ไทย - เทศกาลสงกรานต์” นี้ ขอคนไทยเปี่ยมด้วยความสุข ปลอดโรค ปลอดภัย  ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังฝากขอบคุณคนไทยที่ร่วมฉลองสงกรานต์แบบใหม่ New Normal คุมเข้มพฤติกรรมเสี่ยง ลดอุบัติเหตุทางถนน ควบคู่กับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID -19 ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นการบริหารงานของรัฐบาล และ ศบค. ที่จะดูแลสถานการณ์โควิด-19 อย่างเต็มที่ ในการเตรียมพร้อมด้านเวชภัณฑ์และสถานพยาบาลให้เพียงพอหากมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นในช่วงวันหยุดยาว เพื่อให้ทุกคนมีความสุข กับวันหยุดพักผ่อน​ ใช้เวลาที่มีคุณค่ากับครอบครัว 

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุถึงพี่น้องประชาชนชาวไทย เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ว่า เป็นเทศกาลแห่งความสุขของคนไทย วันที่ 13 เม.ย. ของทุกปีเป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” และวันที่ 14 เม.ย.ของทุกปี ก็เป็น “วันครอบครัว” ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของสังคมไทยมาแต่โบราณ นอกจากนี้ เราชาวไทยยังถือวันสงกรานต์เป็น “วันขึ้นปีใหม่ไทย” อีกด้วย โดยจะร่วมกันทำสิ่งดีๆ เพื่อเป็นมงคลต่อชีวิต และเป็นการเริ่มต้นสิ่งใหม่ เพื่อนำพาตนเองและครอบครัวไปสู่ความสุข ความเจริญ ในวันข้างหน้าและตลอดไป

"ดังนั้น เนื่องในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตโรคและวิกฤตโลก ที่กำลังส่งผลกระทบต่อชาวไทยและชาวโลกมายาวนานสองปีกว่าแล้ว อย่างไรก็ตาม ผมมีความเชื่อว่า “ชาวไทยเป็นคนรักสันติ มองโลกในแง่ดี และไม่เคยยอมแพ้” โดยเราจะสามารถผ่านพ้นทุกภัยคุกคามไปได้ก็ด้วยความรู้รักสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งผมพร้อมที่จะทุ่มเททุกความพยายามและร่วมกับทุกฝ่าย ช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองของเราไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ทัดเทียมนานาอารยประเทศให้ได้ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติของเรา ในการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน"

นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงการเตรียมความพร้อมและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศมีความคืบหน้าไปโดยลำดับ แม้จะได้รับผลกระทบจากมหาวิกฤตโลก แต่เราก็ไม่หยุดพัฒนา จนวันนี้หลายโครงการเริ่มผลิดอกออกผลดีแล้ว เช่น

1. การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ อย่างบูรณาการ โดยช่วงสองปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2563-2564) มีแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ระบบกระจายน้ำ เพื่อสนับสนุนน้ำอุปโภค-บริโภค ตลอดจนภาคการผลิต ทั้งการเกษตรและอุตสาหกรรมครอบคลุมทั้งประเทศ รวม 26,830 แห่ง เมื่อเสร็จสิ้นทุกโครงการ ก็จะสามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนเพื่อใช้ประโยชน์ในช่วงหน้าแล้งได้รวม 742 ล้าน ลบ.ม. อีกทั้งยังสามารถนำน้ำบาดาลมาใช้ได้ถึง 91 ล้าน ลบ.ม. และมีน้ำดิบผลิตประปาได้อีก 62 ล้าน ลบ.ม. ส่งผลให้เกิดประโยชน์โดยตรงกับประชาชนถึง 3.65 ล้านครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 7.5 ล้านไร่ โดยในปี 2565 ก็จะดำเนินการเพิ่มเติมอีก 2,525 แห่ง

2. การพัฒนารถไฟฟ้าทางคู่ เชื่อมโยงกรุงเทพฯ ที่เป็นศูนย์กลางของประเทศ ไปสู่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ กำลังดำเนินการ 5 เส้นทางหลัก รวมระยะทางกว่า 700 กม. คืบหน้าตามแผนเฉลี่ยกว่า 80% และจะขยายผลในระยะ 2 ต่อไป เพื่อกระจายความเจริญไปสู่จังหวัดรอบนอก และประเทศเพื่อนบ้าน ในการเข้าถึงแหล่งผลิต โดยเฉพาะภาคการเกษตรของไทย รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่จะกระจายตัวในทุกภูมิภาคของประเทศ ทั้งป่า เขา เขื่อน แม่น้ำ ลำธาร ทะเล ชายหาด และการท่องเที่ยววิถีไทยในกว่า 7,000 ตำบล

3. การท่องเที่ยวไทย ซึ่งพร้อมจะเป็นกลไกพลิกโฉมประเทศ โดยเราสามารถแก้ปัญหาการบินพลเรือน (ICAO) ให้ได้มาตรฐานสากลได้ การลงทุนเพิ่มเติมโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ทั้งทางบก ทางราง ท่าเรือ และท่าอากาศยาน รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม เช่น “เน็ตหมู่บ้าน” ครบ 75,000 หมู่บ้าน ทำให้แม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโควิด แต่การท่องเที่ยวไทยก็พร้อมจะกลับมาบูมอีกครั้ง คาดว่าปี 2565 นี้ ไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ราว 1.3-1.8 ล้านล้านบาท จากชาวต่างชาติเที่ยวไทย 5-15 ล้านคน สร้างรายได้ราว 8 แสนล้านบาท และไทยเที่ยวไทย 160 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ราว 7 แสนล้าน นอกจากนี้ ยังมีคณะถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ ขอเดินทางเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย ตั้งแต่ ก.ค. 2564 - มี.ค. 2565 แล้ว กว่า 196 เรื่อง จาก 33 ประเทศ สร้างรายได้เข้าไทยกว่า 4.24 พันล้านบาท

"ทั้งหมดนี้ เป็นตัวอย่างของโอกาสและความหวัง สำหรับทุกคนที่มีหัวใจนักสู้ โดยผมและรัฐบาลพร้อมที่จะยืนเคียงข้างพี่น้องประชาชนทุกคน พร้อมสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมที่สร้างงาน สร้างเงิน และส่งเสริมให้คนไทยทุกภาคส่วนปรับตัวตามโลก เปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และพัฒนาเพื่อรองรับโลกอนาคตอยู่เสมอ"

"ปีใหม่ไทยในปีนี้ ผมจึงเห็นว่าเป็นเสมือน “สงกรานต์แห่งความหวัง” ที่เราจะชำระล้าง ความทุกข์ยาก และอุปสรรคให้ไหลรินผ่านไป พร้อมต้อนรับโอกาสของสิ่งดีๆ ที่กำลังจะมาถึงประเทศไทย ในการเปิดประเทศ เริ่มต้นฟื้นฟูและขยายตัวทางเศรษฐกิจ กลับมาสร้างรายได้จากการเดินทางท่องเที่ยว การจ้างงานเพิ่มขึ้น การพลิกโฉมอุตสาหกรรม การเกษตร และการลงทุน ที่รัฐบาลได้วางโครงสร้างพื้นฐานไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งในศักยภาพที่เรามี ตาม roadmap ที่ได้วางไว้"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมขอรณรงค์ให้เทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย และมาตรการทางสาธารณสุข ปลอดภัยทั้งโรคและอุบัติเหตุ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และเดชะพระบารมีอันแผ่ไพศาลของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ได้โปรดดลบันดาลพระราชทานพรให้พี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ประสบแต่ความสุข ความเจริญรุ่งเรือง สบายกาย สบายใจ สุขภาพแข็งแรง แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง และขอให้ชาวไทยมีความสุขกับวันหยุดพักผ่อน ได้ใช้เวลาคุณภาพกับครอบครัว ปลอดโรค ปลอดภัยกันทุกท่านครับ"

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ (13 เม.ย. 65) พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 23,015 ราย จำแนกเป็น ผู้ติดเชื้อในประเทศ 22,920 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 95 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 106 ราย ผู้ที่กำลังรักษาตัว 232,682 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 27,626 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 2565 จำนวน 1,725,434 ราย จำนวนผู้ที่หายป่วยสะสมจำนวน 1,521,298 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,971 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 26 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 27.7  

ขณะที่รายงานภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจำนวนผู้ที่ได้รับได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 - 11 เม.ย. 65 รวม 131,509,798 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 55,955,320 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 50,617,229โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 สะสม 22,577,925 โดส และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 4 สะสม 2,359,324 โดส