วันที่ 26 เม.ย. 2565 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีที่สมาชิกสมาพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยกว่า 100 คน เตรียมเดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกฯ ในวันที่ 27 เม.ย.นี้ หลังได้รับสัญญาณว่ารัฐบาลจะยกเลิกมาตรการตรึงน้ำมันดีเซล 30 บาท และจะทยอยปรับราคาแบบขั้นบันได ว่า ก็พร้อมที่จะรับข้อพิจารณาและรับฟังก่อน เพราะดูก็รู้ว่าปัญหามันมาจากอะไร ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดูแลมาระยะหนึ่งแล้วและทุกคนก็ทราบดีแล้วว่ากองทุนพลังงานของเรานั้นใช้ไปหมดแล้ว
แม้แต่เมื่อได้กู้เงินมาเสริมก็หมดลงไปแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนเพียงใดก็ต้องเข้าใจรัฐบาลกันบ้าง เพราะฉะนั้นการปรับขึ้นราคาดีเซลประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนมากด้วย อีกทั้งจะพันไปถึงอย่างอื่นด้วย นำไปสู่เรื่องของอัตราเงินเฟ้อ เรื่องนี้ก็ต้องเข้าใจกัน ว่ารัฐบาลจะดูแลได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร วันนี้เป็นวันเวลาที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันบ้างซึ่งรัฐบาลเองก็พร้อมที่จะดูแล
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าหากภาคขนส่งจำเป็นจะต้องหยุดวิ่งเพราะไม่สามารถที่จะสู้กับต้นทุนตรงนี้ได้รัฐบาลจะทำอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ก็ต้องรอดูเขาก่อน ส่วนตัวคิดว่าก็ยังมีผู้ประกอบการที่อยู่ในสมาคมอีกจำนวนหนึ่งและที่ไม่ได้อยู่ในสมาคมอีกจำนวนหนึ่งก็ลองดูแล้วกัน ก็ต้องช่วยกันนะ
ขณะที่การตรวจราชการจังหวัดสงขลาและพัทลุง เมื่อวานนี้ (25 เม.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า พบว่าทุกคนมีความสุขเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะมีความหวังจากสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเฉพาะการปรับมาตรการเรื่องท่องเที่ยว ทั้งทางบก ทางอากาศและทางเรือ ซึ่งเราได้มีการปรับมาเป็นระยะ จนอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ทั้งนี้ต้องขอบคุณพี่น้องจังหวัดสงขลาและจังหวัดพัทลุงที่ให้การต้อนรับตนและคณะเป็นอย่างดี และให้กำลังใจในการทำหน้าที่ในการปฏิบัติงานของรัฐบาลต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เพื่อทำให้กิจกรรมต่างๆได้มีความต่อเนื่อง ซึ่งตนได้บอกไปว่าสิ่งที่เราทำวันนี้จำเป็นต้องเอาอดีตมาดูว่าปัญหาอุปสรรคเกิดจากที่ไหนอย่างไร แล้วมาทำปัจจุบันให้สามารถคลี่คล้ายเดินหน้าไปได้ เพียงแต่ต้องหาอะไรใหม่ๆทำในปัจจุบันด้วย เพื่ออนาคตวันข้างหน้า สิ่งที่เราควรให้ความกังวลมีหลายเรื่องด้วยกันนอกจากเรื่องสุขภาพ สังคมสูงวัย การพัฒนาคุณภาพชีวิตอะไรต่างๆเหล่านี้กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติอยู่แล้ว แต่ต้องหากิจกรรมต่างๆมาทำให้สอดคล้องกับสถานการณ์และงบประมาณที่มีอยู่ ซึ่งตนได้พูดหลายครั้งแล้ว รัฐบาลพยายามใช้งบประมาณทำอย่างเต็มที่ในการดูแลประชาชน แต่ถ้าเราใช้ดูแลมากขึ้นซึ่งมากอยู่แล้ว การทำกิจกรรมอื่นๆก็จะน้อยลง เพราะเรามีงบประมาณจำกัด ดังนั้นตนพยายามจะใช้อย่างระมัดระวังที่สุด