วันที่ 21 พ.ย. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.อนุดงษ์ เผ่าดินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "จับมือ รวมใจ พาไทยรอด" ในการสัมมนาหอการค้าไทย ทั่วประเทศ Connect The Dots Design the future ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เมื่อสักครู่บอกว่า มาเจอคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ไม่มีคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่มีแต่คนรุ่นใหญ่ คือใหม่กับเก่าผสมกันคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ ยินดีและเป็นเกียรติที่ได้พบกับทุกคนในวันนี้ ประการที่หอการค้าไทยได้จัดงานนี้ขึ้นเพื่อรวมพลังสร้างสรรค์เศรษฐกิจหรือเป็นโอกาสดีที่ภาครัฐและพบปะพูดคุยกับทุกคน เพื่อสร้างความมั่นใจและจับมือกันเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยไปด้วยกัน
"ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วที่ 2 ปีที่ผ่านมาเผชิญสถานการณ์กับวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทราบผลกระทบต่อทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้นอกจากเรื่องสุขภาพแล้วยังคงต้องแก้ไขปัญหาเรื่องผลกระทบที่เกิดกับการดำเนินชีวิตกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ช่วยกันแก้ไขปัญหาด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกันที่จะทำให้ปัญหาความเดือดร้อนเหล่านี้ว่าทำอย่างไรแก้หลายๆอย่างไปพร้อมกัน โดยไม่มีผลกระทบซึ่งกันและกัน และต้องหามาตรการที่เหมาะสมในการที่จะแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องงบประมาณกฎหมายกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งยังคงยึดถืออยู่พอสมควร ไม่ใช่ยึดถือทุกตัวเพราะฉะนั้นคืออันตรายในการบริหารราชการแผ่นดิน" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ตนได้ทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนและปัจจัยทางสุขภาพอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบมาเป็นเวลานานพอสมควรในเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจปัญหาปากท้องของประชาชน และปัญหาของผู้ประกอบการธุรกิจตนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและสั่งการให้คณะทำงานช่วยกันแก้ไขปัญหา เพื่อให้แนวปฏิบัติไปง่ายๆ ว่าจะทำอย่างไรจะได้มีการแก้ไขจนถึงรายบุคคลหรือผู้ประกอบการมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งทุกคนก็ทราบดีแล้วว่าพยายามทำอย่างเต็มที่ และอยากให้ทุกอย่างกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติครั้งหนึ่ง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ตรงนี้คิดตรงกันทุกคน ก็คนอยากใช้ชีวิตปกติอีกครั้งหนึ่ง ที่ผ่านมาก็ได้ดำเนินการไปตามลำดับเมื่อเกิดการแพร่ระบาดขึ้นมามีมาตรการช่วงแรกในการติดตามสถานการณ์จากภายนอกประเทศ โดยมีการหาวิธีการที่เหมาะสมก็จะหาวัคซีนการเตรียมมาตรการรองรับต่างๆ ในระยะที่ 1 วันนี้มีปริมาณวัคซีนที่เพียงพอให้กับคนทั้งประเทศแล้ว ใครยังติดปัญหาเรื่องเร่งการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงให้รวดเร็วครอบคลุมและปัจจัยสำคัญคือเพื่อลดความเจ็บป่วยรุนแรง และเสียชีวิตหลายคนในกังวลในเรื่องนี้ โดยอยากยืนยันว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือจะทำอย่างไรให้ไม่ติดเชื้อรุนแรงขึ้นทำอย่างไรให้ไม่แพร่ระบาดไปให้คนอื่น หรือไม่เสียชีวิตส่วนผลข้างเคียงมีอยู่บ้าง สิ่งเดียวที่โลกใบนี้คิดเป็นอยู่ตอนนี้คือพยายามอย่างเต็มที่ คือการฉีดวัคซีนให้ครบโดส ให้กับคนทั้งประเทศ จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว ก็ทราบว่ามีการเพิ่มเติมขึ้นมามากพอสมควร
"เพราะฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกันสิ่งสำคัญที่สุดก็คือหากไม่อยากป่วยไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ก็คือวัคซีน ไม่มีอะไรที่จะแก้ปัญหาตรงนี้ได้เลย มีปัญหาข้างเคียงบ้างก็ต้องไปว่ากันอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งทางการแพทย์ก็ชี้แจงไปแล้ว ซึ่งตั้งเป้าให้ฉีดวัคซีนในเดือน พฤศจิกายนให้ได้ 100 ล้านโดส และในเดือนหน้าอีก 20 ล้านโดส ก็จะครบ 120 ล้านโดส ส่วนปีหน้าก็มีการจัดเตรียมสำหรับปีหน้าขั้นต้นมี 60-70 ล้านโดส โดยในลักษณะการฉีดบูสเตอร์ ซึ่งต้องรอดูสถานการณ์ ส่วนวัคซีนการพัฒนาวัคซีนใบยาที่เร่งดำเนินการอยู่ซึ่งของไทยก็ใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว ทั้งวัคซีนใบยา จุฬา และอีก 2-3 ประเภท เพื่อให้มีความเข้มแข็ง ก็มีการตรวจสอบตามขั้นตอนมาโดยตลอด" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า รัฐบาลก็สนับสนุนภายในประเทศวันหน้าก็จะมีการเตรียมความพร้อมและทยอยสร้างความเข้มแข็งระบบสาธารณสุขของไทยที่เคยดีอยู่แล้วในระดับ 6 ของโลกไปยังไม่เคยมีโรคโควิด ในการแพร่ระบาดติดคนทั้งโลกเช่นเวลานี้มาก่อน จึงมีมาตรการหลายอย่างที่พอจะเป็นแบบอย่างให้กับต่างประเทศได้และเรื่องของวัคซีน และมาตรการต่างๆ
"แม้ว่าเรากันเองอาจจะไม่พอใจในการแก้ไขปัญหา แต่ต่างประเทศก็ยังไม่เท่าเราเลย มาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้ประกอบการ ยืนยันว่าประเทศไทยได้ใช้เงินงบประมาณกว่า 25% ของ GDP ในทุกมิติไปแก้ปัญหาเรื่องโควิดโดยเฉพาะวัคซีนและเศรษฐกิจ ขอให้เราได้เปรียบเทียบ หากมีรายได้มากขึ้นก็จะได้มากกว่านี้ ทุกคนทราบดีว่าสถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ" นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้ำว่า แต่อย่างไรก็ตามอย่าประมาทและคิดว่าดีแล้ว ไม่ต้องระมัดระวังเมื่อวันนี้ตอนนั่งรถไปหลังจากพิธีลอยกระทง ตนก็ดีใจที่เห็นประชาชน 100% ใส่หน้ากากแต่ไม่รู้ว่าจะไปสอบตอนไหนเหมือนกันโดยเฉพาะพื้นที่แออัด ก็ดูในภาพมีทีวีในโทรทัศน์ที่ทางที่คลองโอ่งอ่าง ที่นู่นที่นี่ ก็เตือนเสมอว่าอย่าถอดหน้ากาก เว้นแต่อยู่คนเดียว
"เพราะฉะนั้นวันนี้รัฐบาลก็จะผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ไม่ต้องการจะปิดกั้น หรือปิด หรือหยุดอะไรสักอย่าง จะเห็นได้ว่าครั้งที่ 1 มีการทดลองปิดล็อกดาวน์ สถานการณ์ดีขึ้นพอเริ่มจะปล่อยก็มีระยะ 2 ระยะ 3 ระยะ 4 อย่างไรก็ตามหากไม่ร่วมมือกัน เศรษฐกิจดีสุขภาพแย่ก็เดินไปไม่ได้เหมือนเดิมกลับมาล็อกดาวน์เหมือนเก่า ซึ่งเกิดขึ้นหลายประเทศมาแล้ว" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกว่า วันนี้ต้องมีการเตรียมการคาดการณ์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ตัว ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝ่ายความมั่นคงมาก่อน ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ความมั่นคงของโลกไปด้วยไม่ใช่ประเทศไทยคือประเทศไทยอย่างเดียวประเทศไทยมีภูมิภาคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีพื้นที่มีพื้นที่รอบบ้านชายแดนติดต่อกันอยู่แม่น้ำโขงมีความสัมพันธ์กับกลุ่มต่างๆ อีกมากมาย
"ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจ นาทีนี้ต้องเป็นข้อพิจารณาในฐานะรัฐบาล ช่วยกันคิดเกิดอะไรขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้เราบ้านนี้ รอบโลกนี้ภูมิภาคนี้ ไม่เช่นนั้นเราจะวิเคราะห์อะไรไม่ได้เลย จะมองแต่ปัญหา จะมองแต่การแก้ไขปัญหาของเรา ไม่คำนึงถึงคนอื่นเขานั่นคือปัญหาที่ต้องแก้อะไรไม่ได้ เดินหน้าไปได้ยาก มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอย่างมากมายมีพันธสัญญาเกิดขึ้นกับกลุ่มต่างๆประเทศต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมา จึงไม่สามารถที่จะไปคัดค้านได้เนื่องจากเป็นมติของส่วนใหญ่ เช่น CPTTP ตนยอมรับว่ามีข้อเสีย แต่ก็มีข้อดีด้วยเช่นกัน แต่จะทำอย่างไรให้สามารถเจรจากับเขาได้ก่อนเท่านั้นเอง" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า แต่ยอมรับว่ายังไม่ใช่เวลานี้ สามารถทำข้อสงวนได้ทั้งหมดอันไหนไม่ได้ ยังไม่ได้ตกลงว่าจะรับหรือไม่รับต้องกลับมาตกลงกันอีกครั้งหนึ่ง หากไม่ร่วมเจรจาในวันนี้วันหน้าเมื่อสมาชิกอื่นๆเข้ามาอีกจำนวนมากเราจะไม่มีโอกาสเสนอข้อสงวนอีกเลย
"ขอให้จำคำพูดของตนตรงนี้ไว้ ทุกอย่างมีปัญหาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะต้องใช้สติปัญญาให้รอบคอบในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ได้ ไม่ได้ ถูกผิด มันไปไม่ได้ในโลกปัจจุบันให้เป็นไปตามกฎหมาย ตามกฎระเบียบของเราให้ถูกต้องเท่านั้นซึ่งต้องระมัดระวังอย่างที่สุดและระมัดระวังอย่างไร เพื่อจะไม่ให้เดือดร้อน ขอให้แปลเจตนารมณ์ของตนให้ถูกต้องโดยเฉพาะสื่อ หากวันหน้าเกิดปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น อย่างวันนี้มีข้อตกลงพันธสัญญาอาเซปซึ่งผ่านมาเกือบ 2 ปียังเริ่มใช้กันให้ครบเพราะฉะนั้นมันไม่ได้เร็วขนาดนั้นกว่าจะตกลงกว่าจะเจรจากันได้แต่จะได้ไม่ตกหล่นมีสิทธิ์มีอะไรมากพอสมควร" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ส่วนมาตรการการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ อื่นมีปัญหาหลายอย่างแต่ปัญหาเป็นพื้นฐานมาโดยตลอดคือความยากจน อุทกภัยน้ำท่วมหนี้สินครัวเรือนความเหลื่อมล้ำความไม่เป็นธรรม ที่มีขึ้นมาว่าไม่ใช่ว่าตนต้องการยึดครองอำนาจทุกอย่างให้เดินหน้าไป 20 ปีโดยที่ผมยังอยู่ ทุกคนทุกวันตื่นขึ้นมารู้หรือไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรวันนี้จะอยู่วันนี้จะตายวันนี้จะเกิดตื่นมาแล้วเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้แต่ที่รู้คือจะวางอนาคตให้คนข้างหน้าอย่างไร นี่คือสิ่งที่ตนคิด
"เพราะฉะนั้นใน 6 ยุทธศาสตร์ชาติ อยากถามว่า 6 ยุทธศาสตร์ชาติมีเรื่องกี่เรื่องที่ต้องทำ มีกี่แผนแม่บทแล้วจะต้องปฏิรูปอีกด้วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีเท่าไหร่เกี่ยวข้องอีกกี่กระทรวงกี่หน่วยงานเกี่ยวข้องกับประชาชนตรงไหนกฎระเบียบมีตรงไหนการบูรณาการต้องเป็นอย่างไรถ้าไม่ต่างคนต่างทำก็เป็นอยู่แบบเดิมที่เรียกว่าทำงานแบบไซโล" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าไม่ต้องการให้เกิดการทำงานแบบนั้น ทุกกระทรวงปรึกษา ตนได้ทุกกระทรวงสามารถติดต่อได้ทุกกระทรวงให้ไปติดต่อกันกระทรวงนี้ก็ตรงนั้นแต่ไม่กล้าร่วมกันมากนักเว้นแต่เมื่อใดการบูรณาการยังไม่เรียบร้อย เช่นกันแก้ไขปัญหาสนามบินทั้งประเทศ ซึ่งติดต่อกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและคมนาคมว่าแผนเป็นอย่างไร หน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างนี้ คือต้องลงรายละเอียดบ้างแต่ไม่ต้องก้าวล่วงอำนาจของรัฐมนตรี หรือรองรัฐมนตรีต้องให้เกียรติกันในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมงาน ด้วยความหวังดี เช่นเดียวกับกรุงเทพฯ แม้ว่าจะเป็นการปกครองแบบพิเศษแต่ก็คุยกับท่านได้ในทางสร้างสรรค์ดูเรื่องนี้ว่าน้ำท่วมจะเอาอย่างไร วันนี้มีการตั้งคณะกรรมการโดยหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า มหาดไทยเป็นแกน ร่วมมือกับหลังกระทรวง
"ส่วนคำที่บอกว่า 1 ข้าราชการกับ 1 ครัวเรือน ไม่ได้หมายความว่าจะไปแก้ไขปัญหาให้ประชาชน และจะไปแก้ปัญหาได้อย่างไร คนใช้คำว่านั่นคือข้าราชการ ซึ่งต้องรู้กฎเกณฑ์กติกาหลักการ ว่ารัฐบาลทำอะไรอยู่แล้วไปคุยกับเขา แล้วไปเก็บข้อมูลจากเขามา แล้วมาส่งให้คณะทำงาน ตรงนี้เพื่อทำงานให้สอดคล้อง กับสภาพัฒน์ และกระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ เพียงแต่ไปเดินไปเยี่ยม ไม่ได้ทำการเมืองอะไรทั้งสิ้น ไปตามดูประเทศอื่นเขาก็ทำกันแบบนี้ ไม่เคยมีใครไปคุยกับเขา นานๆจะเจอข้าราชการสักทีเพราะทำงานอยู่พื้นที่ห่างไกลสังคมเราคนละอย่างกับต่างประเทศ" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรียอมรับว่าเป็นห่วงเกษตรกรแปลงเล็ก ส่วนใหญ่มีพื้นที่ 3-5 ไร่แล้วปลูกข้าวจะคุ้มหรือไม่หากไม่รวมแปลงใหญ่คงไม่มีคุ้ม ผลผลิตจะได้หรือไม่ก็คงไม่ได้ ซึ่งจะต้องดูว่าจะต้องมีการแก้ไขอย่างไร ต้องปลูกอย่างไรใช้เทคโนโลยีอย่างไรเพื่อให้มีรายได้สูงขึ้นก็มีหลายโครงการที่ออกมา 1 ไร่ 1 แสน ประกอบไปด้วยอะไรบ้างต้องไปดู แต่ถามว่าจะเข้าถึงให้ทั่วถึงได้อย่างไรต้นทุนเพียงพอได้หรือไม่ใครจะช่วยเขา แล้ววันหน้าจะอยู่อย่างไรในประเทศที่เป็นเกษตรกรรมจะต้องเพิ่มมูลค่าอย่างไรอีกอย่างคือเกษตรหมด ถ้าขึ้นด้วยคำว่าเลี้ยงและปลูกนั่นคือเกษตรทั้งหมด บางครั้งกติกาก็เข้มงวดจนไม่ทันการ เพราะคำนึงถึงละเอียด ต้องใช้หลักการ ทดลองปลูกอีก 3 ปีกว่าจะปลูกได้จริงแล้วจะทันเขาหรือไม่
"แต่ย้ำว่าทั้งหมดต้องได้มาตรฐาน มาตรฐานของข้าวคือคุณภาพแป้งน้ำตาล อยากได้เหมือนกันก็โอเคแต่จะต้องดรัมป์ราคาลงเพื่อให้สามารถสู้กันได้ในต่างประเทศ แต่ของเราคือปัญหาคือราคาตั้นทุนสูงอยู่แล้ว" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรีระบุว่า สิ่งเหล่านี้อยู่ในศีรษะตนมานานกว่า 7 ปี บางอย่างก็ไปได้เร็วบางอย่างก็ไปได้ช้าบางอย่างก็ติด ถ้ามาช่วยกันคิดให้ตรงกันก็ไปได้ทั้งหมด ยืนยัน ว่าที่ทำมาทุกอย่างไม่ต้องการยืดครองอำนาจ ให้ถึง 20 ปี ตามที่วางยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ซึ่งตลอด 7 ปี มีหลายปัญหาที่ต้องแก้ไข