เมื่อเวลา 09.29 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเป็นประธานพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ"เที่ยวชุมชน ยลวิถี"ประจำปี 2566 ที่ตึกสันติไมตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เดินเข้ามาหาสื่อมวลชนที่รอสัมภาษณ์อยู่หน้าตึกสันติไมตรี พร้อม กล่าวว่า อยากถามอะไรนายกฯหรือ วันนี้ทุกคนให้ความสนใจกับการเมือง หลายพรรคก็ออกมาเคลื่อนไหวกันเยอะแยะไปหมด ก็เห็นทุกคนอยากทราบว่านายกฯจะไปยังไงต่อไป วันนี้จากที่ได้ติดตามสถานการณ์ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในเรื่องการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรค ที่ผ่านมาตนก็พยายามพิจารณาด้วยหลักการและเหตุผลมากมายหลายประการ วันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอมาแล้วว่ายินดีสนับสนุนตนเป็นนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ตนก็จำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจนไม่เช่นนั้นก็จะวิพากษ์วิจารณ์กันไป ทำให้เกินความเสียหายหลายอย่าง ซึ่งตนเคยบอกไว้แล้วว่าที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนจากพรรคพลังประชารัฐ แต่วันนี้พรรคพลังประชารัฐได้ตกลงใจในการเสนอชื่อหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว
"ฉะนั้นผมได้ตัดสินใจวันนี้ละกัน ที่จริงก็เตรียมการไว้พอสมควรแล้ว ก็ตัดสินใจว่าจะไปอยู่กับรวมไทยสร้างชาติ นะจ๊ะ จะได้สบายใจกัน แต่ก็สุดแล้วแต่ประชาชนจะให้การสนับสนุนหรือไม่อย่างไร สิ่งที่ผมต้องตัดสินใจแบบนี้ เพราะว่า หลายๆอย่างที่ผมได้ทำไว้มาอย่างต่อเนื่องหลายปีที่ผ่านมานั้น ก็คิดว่ามันน่าจะได้มีการสานต่อ ถ้าหากว่าผมสามารถอยู่ได้ในระยะเวลาที่กำหนดนะจ๊ะ เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้น " พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ตลอดระยะ 4 ปีแรก และเกือบ 4 ปีหลัง ตนทำมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งระยะแรกและมาตามรัฐธรรมนูญในการเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ผ่านมาตนเป็นคนกำหนดนโยบายและดูแลทุกพื้นที่ และทุกพรรค โดยจะเห็นได้ว่าแผนงานจะลงทุกจังหวัด ไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นของใคร ซึ่งหลายจังหวัดที่ไปก็ไม่ได้มีส.ส.ของรัฐบาล แต่ตนก็ไป อย่างวันก่อนไปจังหวัดเชียงราย ไม่มีส.ส.พรรคพลังประชารัฐซักคน ตนก็ไปให้ เพราะมองประชาชนเป็นหลัก ซึ่งส.ส.ทุกคนเป็นตัวแทนของประชาชนที่เลือกเข้ามา พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมาตนไม่คิดแสวงหาผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น
เมื่อถามว่า ได้ปรึกษาพล.อ.ประวิตร วษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในการสมัครเข้าพรรค รทสช.หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนได้กราบเรียนท่านไปนานแล้ว และหลายครั้งว่าตนอาจจะมีความจำเป็นอะไรต่างๆ จนครั้งสุดท้ายได้ตัดสินใจไปและคุยกับท่านแล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้มีขัดแย้งอะไรกันทั้งสิ้น เรื่องของการเมืองก็ว่ากันทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามย้ำว่า จากกันด้วยดีใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า "ผมไม่ได้จากกันไปไหนนี่ ก็ยังพูดคุยกันเหมือนเดิม "
เมื่อถามว่า ความสัมพันธ์ต่างๆยังคงเหมือนเดิมใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า "อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ของทหารกับทหารด้วยกัน มันลึกซึ้งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมก็จบมาและอยู่ในการดูแลของท่าน ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาของผมคนแรกในการที่ผมจบจากนักเรียนนายร้อย รับราชการตั้งแต่ร้อยตรี จนกระทั่งอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตรับราชการมาจนถึงวันนี้ ความผูกพันอันนี้มันไม่มีใครลบล้างผมได้ ท่านเองก็รู้สึกเหมือนกัน "
เมื่อถามว่า จะจับมือทางการเมืองกับพล.อ.ประวิตร อยู่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของการเลือกตั้ง มันขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง ประชาชนจะเลือกใครเข้ามายังไม่รู้เลย ถึงเวลานั้นสถานการณ์เขาเรียกว่าการจับคู่ทางการเมือง ใครจะเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลก็เหมือนคราวที่แล้ว ถ้าคะแนนเสียงมารวมกันได้แล้วมากกว่า ก็เป็นฝ่ายรัฐบาล ครั้งที่แล้วตนก็มาอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอบคุณพรรคพลังประชารัฐในการสนับสนุนตนเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา เราไม่ใช่ศัตรูกัน
เมื่อถามว่า จะสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า"ก็คงน่าจะต้องสมัคร ส่วนเมื่อไหร่ ขออย่าเพิ่งถาม"
ถามต่อว่า จะเป็นแคนดิเดตนายกฯของรวมไทยสร้างชาติ ชื่อเดียวเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า"ก็ตอนนี้เห็นว่ามีคนเดียวมั้ง"
ถามอีกว่า แล้วระยะเวลา 2 ปีหลังจากนั้น จะมีการวางตัวใครต่อหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ส่ายหน้าพร้อมเดินถอยหลัง และระบุว่า "อย่าเพิ่งไปถามตอนนั้นเลย ถามนี่ไปนู่น ไปนั่น ไปเรื่อย และจะตอบได้ยังไงเล่า "
เมื่อถามว่า ครอบครัวสนับสนุนเต็มที่เลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ เงียบก่อนเงยหน้ามองขึ้นฟ้า และระบุว่า "ก็เข้าใจกัน ว่าผมทำเพื่ออะไร"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า สิ่งสำคัญที่สุดก็ต้องคุยกันว่าอะไรที่รัฐบาลนี้ได้ทำไว้ ก็คงต้องสานต่อ เพื่อไปสู่อนาคต ซึ่งถ้าจะประกาศว่าทำนู่นทำนี่ก็ต้องดูว่าทำได้จริงหรือเปล่า ถ้าจะให้นู่นให้นี่จะมีเงินจากที่ไหน หาเงินได้อย่างไร ที่ผ่านมาตนก็พยายามหารายได้เข้าประเทศ แต่ทั้งนี้ก็ขอให้เราอย่าท้อแท้ อย่าทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกัน ไม่เช่นนั้นก็จะกลับไปที่เดิมหมด ตนขอยืนยันว่าจะพยายามทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยและดีที่สุด แต่ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องขอความร่วมมือกับประชาชนทุกภาคส่วนว่าต้องมีหลักคิดว่าจะทำอย่างไร หรือเลือกใคร เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกพรรคการเมือง เลือกส.ส. ท่านต้องมองดูว่จะได้ใครเป็นนายกฯ ท้ายที่สุดมันอยู่ตรงนั้น
"ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่มีความสำคัญที่สุด ก็ขอให้คิดไตร่ตรองให้รอบคอบแล้วกัน มีเหตุ มีผล มีหลักคิด ถ้าสมมติว่าอยากได้นู่นนี่ แต่มันเกินขีดความสามารถของรัฐบาล หรืองบประมาณที่มีอยู่ มันก็จะเดือดร้อน ประเทศชาติจะเสียหาย ฉะนั้นขอให้คิดให้ดี "นายกฯกล่าว
เมื่อถามว่า อายุรัฐบาลจะครบเทอม หรือยุบสภาก่อน นายกฯ กล่าวว่า ตนเคยบอกไปแล้วว่าวันนี้ยังมีหลายอย่างที่เป็นปัญหา ซึ่งเราก็ดำเนินการอยู่ ฉะนั้นขอดูจังหว่ะเวลาก่อนแล้วกัน ยังไงก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งคงต้องหารือกับฝ่ายการเมือง พรรคร่วมรัฐบาล กับพรรคใหม่ด้วย
นายกฯ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการบิดเบือนข้อมูลในสถานศึกษานั้น ก็ต้องไปดูว่าใครเป็นคนทำ หรือใครเป็นต้นตอในการเริ่มต้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งอันตรายที่สุด เพราะครูมีหน้าที่ทำให้ผ้าขาวผืนนี้เป็นผ้าที่บริสุทธิ์ เด็กอาจจะมีภูมิต้านทานน้อย เชื่อง่าย ฉะนั้นเราต้องสอนคนให้มีหลักคิดตั้งแต่เด็กว่า มีวินัย ใฝ่การเรียนรู้ ที่ผ่านมาก็มีการดำเนินคดีเยอะแยะ ฉะนั้นวันนี้อยากจะขอสถานศึกษา ครู อาจารย์ ที่ฝ่ายความมั่นคงมีข้อมูล ก็มีหลายท่าน ตนขอเถอะในการที่เราจะเปลี่ยนแปลงประเทศ ไม่ใช่เปลี่ยนความคิดให้คนไม่มีความรับผิดชอบ ให้คนไม่เคารพครอบครัว ไม่เคารพครูบาอาจารย์ หรือกฎหมายอะไรเลย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะถ้าประเทศเสียหายแตกเป็นชิ้นๆ เราจะประสานรอยร้าวกลับมาได้อย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ตนขอร้องเถอะ หยุดกันเถอะ ไม่อย่างนั้นรัฐบาลก็จำเป็นต้องใช้กฎหมาย ที่ผ่านมาตนไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นเรื่องของอัยการ และศาล ขอย้ำว่าตนไม่ใช่ศัตรูของใคร ไม่ว่าฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล ตนขอให้เห็นใจประเทศของเรา ถ้าแตกแยกกันอยู่อย่างนี้ มันก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น
ทั้งนี้ในช่วงท้ายการสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ตนไม่ได้ยืนยันว่านายกฯจะต้องเป็นตนตลอดไป มันขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะเลือกอย่างไร เพียงแต่วันนี้ไม่อยากให้โจมตีกันเสียหาย ซึ่งตนก็รักษามารยาทกับทุกพรรค โดยเฉพาะพลังประชารัฐที่เสนอตนเข้ามา แต่วันนี้เมื่อเขาเปิดตัวกันแล้ว ตนจึงต้องพูดเพื่อจะได้เลิกสับสนอลหม่าน และเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ช่วงนี้ขออย่างเดียวให้บ้านเมืองสงบจะได้เลือกตั้งได้ เพื่อให้คนได้มีเวลาคิดในสิ่งที่สร้างสรรค์ หรือควรจะเป็น
เมื่อถามว่า จะเข้าเป็นกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้คิดตรงนั้น
ถามว่ากรณีที่ตั้ง พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีนั้น ถือว่ามีความชัดเจนทางด้านการเมืองแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยว เขาทำงานกับผมอยู่แล้ว ไม่ได้มองการเมืองอย่างเดียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เวลาในการให้สัมภาษณ์ และตอบคำถามสื่อครั้งนี้ เกินกว่า 20 นาที