ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเมื่อวันที่ 26 ก.พ.2563 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โดยมีเนื้อหาว่า ในช่วงเย็นมีเด็กนักเรียนออกมาเรียนร้องที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งถ้านายกฯ ปฏิรูปประเทศตามที่สัญญาไว้เมื่อปี 2557 ก็คงมีแต่คนสรรเสริญ แต่ใช้เงินไป 16 ล้านล้าน โดยไม่มีการปฏิรูป แต่ตามระบอบประชาธิปไตย
"อย่าไปจำกัดการแสดงออกของเด็กนักเรียนและอย่าไปเรียกเขาว่าชังชาติเลย เพราะทุกคนก็ได้เห็นการแฉกระบวนการไอโอแล้วเมื่อคืน เด็กๆ ฝากมาบอกว่าไม่ได้ชังชาติ แต่ชังเผด็จการ แกนในระบอบประชาธิปไตยมันบิดเบี้ยวหมด"
พร้อมระบุว่า ตอนพวกตนเป็นรัฐบาล พวกท่านหลายคนก็ไปเป่านกหวีด ได้ดีนั่งบัลลังก์ก็เยอะ แต่ตอนนี้มีคนกลับตัวกลับใจก็เยอะ ไม่ใช่แค่นักเรียนนักศึกษา แต่มันเลยเถิดไปทุกวงการ เพราะเรามีโลกที่กว้างใหญ่ ทุกคนจับตามองนายกรัฐมนตรี
"ทุกวันนี้ขึ้นรถแท็กซี่เขาก็บ่น ว่าเศรษฐกิจไม่ดี พูดกันทุกวงเหล้า ถ้านายกรัฐมนตรีลองไปขึ้นแท็กซี่ก็จะรู้ 5 ปีที่ผ่านมานี้แผนการปฏิรูปอะไรกลายเป็นแค่กระดาษอย่างเดียว การโกหกไม่มีใครชอบ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าการสืบทอดอำนาจคือการวางแผนเพื่อให้พวกตัวเองสืบทอดอำนาจ ท่านอาจทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ที่ฆ่าไม่ได้คือปีศาจแห่งกาลเวลา คนที่รู้ตัวว่าโกหกแต่ไม่สนใจใคร แล้วยิ่งเป็นผู้นำประเทศ นี่คือเรื่องอันตราย อีกทั้งประชาชนทั้งประเทศรู้ว่าเขาโกหก แต่ยังกล้าโกหกหลอกลวง เริ่มจาก 22 ส.ค. 2559 บอกว่าตนเองไม่ใช่นักการเมือง ไม่สนใจการเมือง พูด 9 ครั้งก่อนเล่นการเมือง ทั้งที่ตอนนี้เป็นรัฐบาล ผมเสนอให้มีการทำประชามติอีกครั้งเลือกว่าจะเอา พล.อ.ประยุทธ์ กลับเข้ามาอีกหรือไม่ ใช้บัตรสองใบว่าเอาหรือไม่เอา จะได้รู้ว่าเขาอยากเปลี่ยนหรือไม่"
นายจิรายุ ระบุว่า ประเด็นต่อมาที่บอกว่าจะแก้ไขทำให้เกิดการปรองดอง แต่เป็นเพียงความพยายาม ไม่ได้ตั้งใจให้สัมฤทธิ์ผล นายกฯ ด่านักการเมืองประจำ แต่สุดท้ายก็นั่งอยู่บัลลังก์ แต่ท่านต้องรักษาทรง เพราะศิลปินกับคนบ้าต่างกันนิดเดียว ที่ผ่านมา นายกฯ บอกว่าของแพงก็ให้ปลูกกินเอง น้ำแล้งให้ขุดบ่อ น้ำเค็มให้เอาไปต้ม ให้เอายางพาราไปขายดาวอังคาร ยังไม่รวมไปตำหนิติเตียนผู้หญิง อีกทั้งยังเป็นคนดุจนคนรอบตัวอาจจะไม่กล้าบอกความจริง อีกทั้งตอนนี้เศรษฐกิจก็ไม่ดี เป็นเหมือนพีระมิดหัวกลับ เศรษฐกิจไม่ดีจากฐานราก ดอกเบี้ยเงินฝากน้อย แต่ดอกเบี้ยจากการกู้ธุรกิจแพง ในขณะที่บริษัทอื่นเจ๊ง แต่ธนาคารกลับได้กำไร ประเทศไทยหารายได้ไม่เป็น การเจรจาแหล่งพลังงานในอ่าวไทยที่ทับซ้อนกับกัมพูชา นายกรัฐมนตรีได้ไปเจรจาบ้างไหม ปัญหาเศรษฐกิจกลับแก้ด้วยชิมช้อปใช้ เหมือนการใช้ยาพารารักษาคนป่วยไส้ติ่งอักเสบ แต่สุดท้ายก็รอวันไส้ติ่งแตกตาย ประเทศเป็นหนี้ 7 ล้านล้านบาท ที่เคยกล่าวว่าเสียสละเพื่อชาติ แต่เวลาประเทศชาติมีวิกฤติ แต่กลับสั่งการให้เอาหน้ากากอนามัยมาขายที่ทำเนียบรัฐบาล แต่ราคาแพงกว่าราคาจากโรงงานจนโดนวิจารณ์ไปทั่ว
"ประเทศไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นจาก 2556 จำนวน 4 ล้านคน ปี 2562 มีคนจน 14 ล้านคน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เคยพูดเมื่อปี 2556 ว่าไม่อยากให้ประเทศไทยเป็นอย่างฟิลิปปินส์ แต่ปัญหาของประเทศตอนนี้เป็นเหมือนฟิลิปปินส์เมื่อ 40 ปีที่แล้ว โดยที่มีผู้ศึกษาแล้วพบว่าเกิดจาก การบริหารประเทศที่ผิดของผู้นำ การฉ้อราษฎร์บังหลวง และผู้นำไร้กึ๋น และเคยพูดว่าหากการเมืองไม่สามารถสร้างศรัทธาจากประชาชนได้ จะเรียกว่าเป็นภาวะ Disrupted Society ตอนนั้นพูดเหมือนตาเห็น แต่ตอนนี้รัฐบาลไม่ทำอะไร"