วันที่ 18 ส.ค. 2566 ที่พรรคเพื่อไทย เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการโพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กตอบโต้ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทยที่ออกมาโจมตีเรื่องคุณสมบัติการเป็นนายกฯ ของตนว่า เรื่องของ ชูวิทย์อยากจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ตลอดเวลาที่ตนทำงานที่บมจ.แสนสิริ มา 30 ปี การทำงานเรื่องความโปร่งใสเรื่องความมุ่งมั่นการนำบริษัทไปสู่ความเจริญโดยยึดมั่นหลักธรรมาภิบาลถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่างทำให้ บมจ.แสนสิริ สามารถฝ่าวิกฤตมาได้หลายวิกฤตเป็น บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำเป็นที่ยอมรับคนหมู่มาก มีบริษัทตรวจสอบบัญชีระดับโลก ที่ปรึกษากฎหมายที่ดี มีคณะกรรมการตรวจสอบที่มั่นคง ตนยืนยันตลอด 30 ปีที่ตนอยู่บริหาร บมจ.แสนสิริมา ได้ยึดมั่นทำตามกฎหมายทุกอย่างทุกประการ
เศรษฐาระบุว่า เรื่องของนายชูวิทย์ที่กล่าวหาเรื่องที่ดินแสนสิริ ของโครงการคุณ บาย ยูที่ซอยทองหล่อนั้น ตนยืนยัน บมจ.แสนสิริ เป็นผู้ซื้อทั้งหมดเราทำงานถูกต้อง ย้ำว่าไม่มีเงินทอนให้ใครทั้งสิ้น ไม่มีการให้กู้ยืมการทำสัญญาค้ำประกันเป็นเพียงซื้อ-ขายตามสัญญาที่มีไว้ป้องกันความเสี่ยงให้กับบริษัท ยืนยัน บมจ.แสนสิริ ไม่มีนอมินีในการรับซื้อที่ ไม่มี เงินทอน มีการเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ไม่มีส่วนร่วมกับผู้ขายในการบริหารจัดการเรื่องภาษีเรื่องภาษีที่ดินเป็นหน้าที่ของผู้ขายทั้งหมด เรื่องเหล่านี้ยืนยันหลายหนและขอบคุณสื่อมวลชนที่เสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ผมไม่ใช่นักการตลาดไม่ใช่นักแฉนะครับ ผมทำงานมาตลอด 30 ปีด้วยความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ใจก็ขอขอบคุณอีกครั้งหนึ่งที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ผมในเรื่องนี้”
เศรษฐา ระบุด้วยว่า เรื่องของ ชูวิทย์นั้น ตนไม่อยากพูดแต่ก็ต้องชี้แจง ว่าทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อตอนที่ตนได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ก็เริ่มมีคนติดต่อถาม ชูวิทย์ว่ามีคนอยากซื้อที่ดินที่สุขุมวิท ซอย24 โดยเมื่อเดือน ก.ย. 2565 ได้มีการคุยเรื่องซื้อขายต่อรองจาก 2,000 ล้านบาทเหลือ 1,800 ล้านบาท มีการพูดคุยและข้อตกลงชัดเจน และนายชูวิทย์ได้พาลูกมาเป็นสักขีพยานด้วย แต่ไปเจอว่ามีการวางมัดจำไว้แล้วกับที่ดินแปลงนี้กับบริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ทำให้ บมจ.แสนสิริ ไม่สามารถทำนิติกรรมซ้อนได้ ยืนยันทำไม่ได้ พอถึงเดือน ก.ค. 2566 เมื่อมีชื่อตนเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ทำให้ ชูวิทย์ได้ติดต่อผ่านผู้ใหญ่มาหลายราย เพื่อขอให้ตนกลับไปซื้อที่ดินของนายชูวิทย์ในราคา 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ตนได้ออกจาก บมจ.แสนสิริ เมื่อ มี.ค. 2566 แล้ว ซึ่งตนไม่มีอำนาจบริหารจัดการ บมจ.แสนสิริ ไม่มีอำนาจสั่งการให้ใครก็ตามไปซื้อที่ดินในนาม บมจ.แสนสิริ ถ้าถามตามหลักกฎหมายแล้วไม่สามารถซื้อที่ดินดังกล่าวได้ ถ้าซื้อมาไม่มีการแฉ ตนเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม และเป็นเรื่องบิดเบือนความจริงทำให้ตนมีความเสียหาย ตนแถลงในวันนี้ ตนพร้อมที่จะให้ชูวิทย์ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
เศรษฐาระบุว่า โครงการคุณ บาย ยู ซื้อที่ดินมาเป็นราคาที่ดีมาก 1.1 ล้านบาทต่อตารางวา วันนี้ไปซื้อที่ดินริมถนนทองหล่อในราคาดังกล่าว บมจ.แสนสิริในขณะนั้นมีคณะกรรมการพิจารณาการซื้อที่ดินที่ชัดเจนมีคณะกรรมการตรวจสอบและกฎหมายอยู่แล้ว ยืนยันไม่มีการให้กู้ยืมไม่มีการได้รับเงินทอนแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน เศรษฐายังชี้แจงว่า กรณีชูวิทย์กล่าวหาโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมีการรับเงินทอน 5% มีการตั้งบริษัทดิจิทัลไปรองรับนั้น ตนว่าเลอะเทอะ โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ดีจ่ายเงินตรงของรัฐบาลไปยังประชาชน 50 ล้านคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เป็น นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะกอบกู้เศรษฐกิจขึ้นมา ทำให้เกิดการจ้างการงาน การผลิต ประชาชนมีเงินเยอะขึ้น เป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย
“การที่คุณชูวิทย์ออกมาพูดอย่างไม่มีหลักการ ผมเชื่อว่ามีประชาชน 50 ล้านคนเดือดร้อน อาจจะไม่เข้าใจ พรรคเพื่อไทยโดยคุณเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงชัดเจนแล้ว ผมขอแถลงเป็นครั้งสุดท้าย เพราะบ้านเมืองเรามีปัญหาเยอะแล้ว ผมตอนเดินเข้ามาในเวทีการเมือง ตอนต้นเดือน มี.ค. 2566 มีผู้ใหญ่หลายท่านเตือนด้วยความหวังดีคงเจอเรื่องอะไรเยอะ แต่ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องเลอะเทอะบิดเบือนความจริงขนาดนี้ ยืนยันเมื่ออาสาเข้ามาแล้วต้องมุ่งมั่นต่อไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยและผมขอไม่พูด เพราะสิ่งที่พูดในคลิปที่แถลงก็ชี้แจงไว้แล้ว”
ส่วนวันที่22 ส.ค.นี้ที่จะมีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกฯ นั้น เศรษฐา ย้ำว่า คณะเจรจาของพรรคเพื่อไทยได้มีการเจราหลายพรรคมีความคืบหน้าทิผสทางที่ดี มีพรรคการเมืองหลายพรรคตอบรับมาแล้วในการโหวต เมื่อสักครู่พรรคภูมิใจไทย โดย อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้โทรมาเข้ามือถือตนแล้วยืนยัน 71 สส.ของพรรคจะโหวตให้ตนเป็นนายกฯ ก็ขอขอบคุณด้วยและมีหลายพรรคก็แสดงเจตจำนงมาแล้ว ดังนั้น ถ้าพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อตนเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 ส.ค.นี้ ตนมีความพร้อมและขอวิงวอนเราต้องการเสียง สว.ด้วย โดยกระทำการของตนคงเห็นเป็นที่ประจักษ์ตั้งใจจริง หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจาก สว.ทุกภาคส่วน
“พรรคเพื่อไทยมีความพร้อมและตกลงได้พรรคร่วมภายใต้การนำพรรคเพื่อไทยเพื่อให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤต เพราะเนิ่นนานแล้ว3 เดือนแล้ว ถึงเวลาประเทศไทย ต้องมีคณะรัฐบาลช่วยเหลือยกระดับความเป็นอยู่พี่น้องประชาชนทุกคนในประเทศ” เศรษฐา ย้ำพร้อมตัดบทการให้สัมภาษณ์ทันที