ทั้งนี้ กฎหมายใหม่ฉบับใหม่นี้จะสามารถบังคับใช้เฉพาะกับนักโทษที่มีโทษจำคุกเดิมไม่เกิน 3 ปี และจะไม่ครอบคลุมถึงผู้ที่ก่ออาชญากรรมขั้นร้ายแรง
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (8 พ.ค.) รัฐสภายูเครนลงมติให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญาของประเทศ เพื่อให้มี “การปล่อยตัวนักโทษก่อนกำหนดอย่างมีเงื่อนไข” เพื่อแลกกับ “การมีส่วนร่วมโดยตรงในการป้องกันประเทศ การปกป้องเอกราช และบูรณภาพแห่งดินแดน”
อย่างไรก็ดี นักโทษที่ไม่เข้าสิทธิ์การขอทัณฑ์บนเพื่อแลกกับการไปรบในกองทัพ ได้แก่ “ผู้ที่กระทำการฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ผู้ข่มขืนและพวกใคร่เด็ก เจ้าหน้าที่ทุจริต ผู้ที่ก่ออาชญากรรมต่อรากฐานความมั่นคงแห่งชาติของยูเครน และผู้ที่ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบเป็นพิเศษ รวมถึง ส.ส. และรัฐมนตรี” ซึ่งสอดคล้องกันกับคำแถลงของพรรคผู้รับใช้ของประชาชน ที่มี โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เป็นผู้นำพรรค
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจากทางฝั่งยูเครน เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของกองกำลังรัสเซียในแนวหน้ารบ และเป็นความพยายามของยูเครน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกำลังพลและกระสุนปืน
ก่อนหน้านี้ รัสเซียรับสมัครนักโทษตั้งแต่ช่วงต้นของสงครามการรุกรานยูเครน และรัสเซียได้ส่งตัวนักโทษกลุ่มดังกล่าวเข้าไปทำหน้าที่รบในสมรภูมิจริงในบางศึก ซึ่งนำไปสู่ข้อกล่าวหาต่อรัสเซียที่ถูกมองว่ากองทหารอดีตนักโทษเหล่านี้ เป็นเพียงแค่ "วัตถุทางสงคราม" เพื่อส่งไปตายเท่านั้น
นอกจากนี้ การเกณฑ์ทหารจากนักโทษ และการปล่อยตัวอดีตผู้ต้องขังจำนวนมากกลับไปใช้ชีวิตพลเรือนในเวลาต่อมา ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ภายในรัสเซีย เนื่องจากอดีตนักโทษหลายคนถูกจับกุมตัวอีกครั้งจากการกระทำความผิดครั้งใหม่
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ยูเครนหวังว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะดำเนินไปในทางใดทางหนึ่งเพื่อจัดการกับความไม่สมดุลที่ยูเครนต้องเผชิญกับรัสเซีย ซึ่งมีกำลังพลมากกว่ายูเครนอย่างน้อย 3 เท่าตัว
“มีความเป็นไปได้ที่จะต้านทานการทำสงครามกับศัตรูอย่างเต็มกำลังด้วยทรัพยากรที่มากขึ้น โดยการรวมกำลังทั้งหมดเข้าด้วยกันเท่านั้น (สิ่งนี้) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้และการรักษาสถานะรัฐของยูเครนของเรา” โอเลนา ชูเลียก ประธานคณะกรรมการเวอร์คอฟนาราดา องค์กรอำนาจรัฐ การปกครองตนเองในท้องถิ่น การพัฒนาภูมิภาค และการวางผังเมือง ระบุ
พรรครัฐบาลของยูเครนกล่าวว่ากฎหมายใหม่ผ่านด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 279 เสียงจากทั้งหมด 330 เสียง โดยไม่มีการลงคะแนนเสียงคัดค้าน ทั้งนี้ มี สส.งดออกเสียง 11 คน และ 40 คนไม่ลงคะแนน
กฎหมายใหม่ฉบับนี้กำหนดให้นักโทษเข้าร่วมกองทัพตามเจตจำนงเสรีของตัวเอง ทั้งนี้ ผู้ที่ออกจากราชการก่อนครบสัญญาจะต้องได้รับโทษจำคุกเพิ่มเติมระหว่าง 5 ถึง 10 ปี อย่างไรก็ดี ยังคงไม่มีความชัดเจนว่านักโทษจะต้องลงสมัครเข้ารับราชการในกองทัพนานเท่าใด
ชูเลียกกล่าวว่า ผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวตามทัณฑ์บนเพื่อรับราชการจะมีสถานะเป็น “บุคลากรทางทหาร” และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกันกับการถูกควบคุมพฤติกรรมของพวกเขา “ซึ่งรวมถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกจากหน่วยทหารหรือสถานที่รับราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต การละทิ้ง การหลบเลี่ยงการรับราชการทหารด้วยการทำร้ายตัวเองหรือโดยวิธีอื่น การออกจากสนามรบโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการปฏิเสธที่จะใช้อาวุธ” รวมถึงการยอมจำนนโดยสมัครใจ
นักโทษผู้สมัครจะต้องยื่นคำร้องขอทัณฑ์บนก่อน จากนั้นพวกเขาจะได้รับการตรวจสุขภาพที่สถานกักขังเพื่อดูว่าพวกเขามีสุขภาพจิตและร่างกายพร้อมที่จะเข้ารับราชการทหารหรือไม่ และศาลจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะให้ทัณฑ์บนพวกเขาหรือไม่ โดยหากศาลอนุญาต นักโทษจะถูกโอนตัวไปยังกองทัพยูเครน
ทั้งนี้ สัญญาสามารถยุติลงได้ในบางกรณี เช่น สุขภาพไม่ดี หรือหากอดีตผู้ต้องขังก่ออาชญากรรมครั้งใหม่ พวกเขายังสามารถถูกยกเลิกสัญญาตในการถอนกำลังระดับชาติได้ด้วย
ที่มา: