นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี และประธานส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีพรรคฝ่ายค้าน และพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาตรวจสอบการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทว่า ส่วนตัวตนไม่เห็นด้วยกับการตั้งกมธ.วิสามัญฯดังกล่าว เพราะมีหน่วยงานราชการที่น่าเชื่อถือพิจารณาและกลั่นกรองอยู่แล้ว อาทิ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง รวมทั้งในระดับพื้นที่จะต้องเสนอผ่านคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัด และกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.)กลั่นกรอง ก่อนเสนอให้ครม.เป็นผู้อนุมัติโครงการตามที่เสนอมาเท่านั้น โดยนักการเมืองไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ขณะที่สภาฯ ก็มีกมธ.สามัญฯ จำนวน 35 คณะ ซึ่งสามารถทำหน้าที่และสามารถตรวจสอบ พ.ร.ก.กู้เงิน1.9 ล้านล้านบาท ทั้ง 3 ฉบับ พวกเราที่เป็น ส.ส. ทุกคน ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ในฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องมั่นใจในระบบราชการที่เข้ามาดูแลงบประมาณตัวนี้ จึงไม่จำเป็นต้องตั้ง กมธ.วิสามัญฯ ให้ขึ้นมาทำงานซ้ำซ้อน เสียเวลาการทำงานกับทุกฝ่าย และรวมทั้งเสียงบประมาณของแผ่นดิน เกี่ยวกับเบี้ยประชุมอีกด้วย
ประธาน ส.ส.พปชร. กล่าวว่า ในส่วนที่ฝ่ายค้านคิดและเป็นข้อกังวลในการใช้งบประมาณเกรงว่าจะมีการทุจริตคอร์รัปชันนั้น หรือใช้งบประมาณไปไม่ตรงวัตถุประสงค์นั้น ต้องอย่าลืมว่าประเทศไทยนั้นก็มีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมตรวจสอบ ยิ่งโดยเฉพาะ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทถือว่า มีกรอบดำเนินการที่รัดกุมโดยใช้กฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะมาบังคับใช้กำกับติดตาม การเบิกจ่ายเงินกู้ และต้องมีการประเมินโครการต่างๆ นำเสนอต่อ ครม.ทุก 3 เดือน
ส่วนการกำกับติดตามเงินกู้และผลสัมฤทธิ์ของโครงการมาตรการต่างๆเหล่านี้ ตนเชื่อและมั่นใจว่าพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั้นได้คิดและวางแผนมาตรการต่างๆในการบริหารจัดการไว้แล้ว ซึ่งมีการรายงานต่อรัฐสภาภายใน 60 วันนับแต่สิ้นปีงบประมาณ ซึ่งถือว่ามีมาตรฐานตรวจสอบ หรือมีการประเมิน KPI สูงกว่าเมื่อเทียบกับพ.ร.ก.เงินกู้ในอดีตคือ พ.ร.ก.ไทยเข้มแข็งในปี2552 และพ.ร.ก.กู้เงินเพื่อวางระบบบริหารน้ำ ปี 2555
อ่านเพิ่มเติม