คำสั่งดังกล่าวระบุให้ผู้ที่พำนักอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียสวมหน้ากากอนามัยเมื่อไรก็ตามที่ต้องออกจากบ้าน ยกเว้นเวลาที่รับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มในร้านอาหาร หรือกำลังออกกำลังกายในที่โล่งแจ้ง ตราบเท่าที่มีการรักษาระยะห่างทางกายภาพเป็นระยะ 1.8 เมตร รวมถึงมีข้อยกเว้นให้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ทำให้พวกเขาไม่ควรสวมหน้ากากปิดหน้า ผู้ที่มีปัญหาด้านการได้ยิน หรือการสื่อสารกับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน เป็นต้น โดย ‘เกวิน นิวซอม’ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียให้เหตุผลว่า เป็นเพราะทางการพบเห็นประชาชนจำนวนมากไม่สวมหน้ากากปิดใบหน้า ซึ่งจะทำให้เสี่ยงทำลายความก้าวหน้าทั้งหมดที่ได้ทำมาเพื่อต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ยุทธศาสตร์ของรัฐที่จะเริ่มเดินหน้าเศรษฐกิจอีกครั้งและให้ประชาชนได้กลับไปทำงานจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อประชาชนปฏิบัติตัวโดยคำคำนึงถึงความปลอดภัยและปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพ ซึ่งหมายถึงต้องสวมหน้ากาก ล้างมือและรักษาระยะห่างทางกายภาพ
รายงานระบุว่าภายใต้กฎหมายของรัฐ ประชาชนที่ฝ่าฝืนคำสั่งใหม่นี้อาจถูกตั้งข้อหากระทำความผิดอาญาประเภทลหุโทษ และอาจถูกลงโทษปรับ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้พยายามหลีกเลี่ยงการบังคับให้ประชาชนทำตามคำสั่งอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมโควิด-19 แต่เลือกที่จะใช้วิธีส่งเสริมให้ปฏิบัติตามหรือให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ที่จะได้รับในการป้องกันไวรัสมากกว่า
มีประมาณ 10 รัฐ และบางเมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ที่ออกกฎสวมหน้ากากปิดใบหน้า เช่น มิชิแกน นิวยอร์ก เมน เดลาแวร์ และแมรีแลนด์ ขณะที่รัฐมอนตานา เซาท์ดาโคตา วิสคอนซิน และเซาท์แคโรไลนาไม่มีคำสั่งสวมหน้ากาก ทั้งนี้ รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในสหรัฐฯ โดยมีผู้อาศัยอยู่ราวๆ 40 ล้านคน และยังเป็นรัฐแรกที่สั่งจำกัดกิจกรรมของประชาชนและมีคำสั่งปิดธุรกิจทั่วรัฐเมื่อวันที่ 19 มี.ค. หลังจากนั้นก็ได้ค่อยๆ ทยอยคลายกฎต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อีกครั้งแม้ว่ายังคงข้อห้ามบางประการอยู่
เว็บไซต์ worldometers ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อสะสมล่าสุดในรัฐแคลิฟอร์เนียอยู่ที่ 167,007 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5,362 ราย ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วสหรัฐฯ อยู่ที่ 2,263,651 ราย และเสียชีวิตรวม 120,688 ราย โดยยังคงเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมมากที่สุดในโลก
อ้างอิง CNA / Los Angeles Times