ไม่พบผลการค้นหา
ชี้ข้อต่อสู้สำคัญ อำนาจยุบพรรคไม่อยู่ในรัฐธรรมนูญเหมือนก่อน แต่อยู่ในกฎหมายลำดับรอง พ.ร.ป.

6 เม.ย.2567 ที่โรงแรมเมเปิล ก่อนการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคก้าวไกล ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายมองว่า การประชุมพรรคก้าวไกลในครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค โดย ชัยธวัช กล่าวว่า ต้องรอความเห็นในที่ประชุม ซึ่งถ้ามีการเปลี่ยนตัวจริงๆ ตนอยู่ตรงไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมพรรค และทางโฆษกพรรคก้าวไกลจะมาแถลงอีกครั้งหนึ่ง 

ชัยธวัช ยังเปิดเผยอีกว่า เรื่องคดีความยุบพรรคได้มีการทำความเข้าใจสมาชิกพรรค และทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และเมื่อวานนี้ (5 เม.ย.) ได้มีการสัมมนา สส. และได้ทำความเข้าใจเรื่องเฉพาะหน้า รวมถึงระบบการทำงานต่างๆ ในพรรค และการเตรียมเลือกตั้งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ส่วนสภาวะของพรรคที่อยู่บนเส้นด้ายนั้น ยืนยันว่า เรามีแผนงาน และเป้าหมายชัดเจน ขวัญกำลังใจไม่ได้หายไปไหน พร้อมเดินหน้าตามโรดแมพ เพราะตราบใดที่การทำงานของพรรคมีคุณภาพ พรรคก้าวไกลก็พร้อมเดินหน้าทุกสถานการณ์ 

ชัยธวัช กล่าวถึงคดียุบพรรคอีกว่า พรรคก้าวไกลได้รับหนังสือจากศาลรัฐธรรมนูญแล้ว และอยู่ระหว่างการทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งยอมรับว่า รายละเอียดค่อนข้างเยอะมีจำนวนหลายร้อยหน้า จึงต้องใช้เวลาเยอะ เพราะมีแง่มุมที่ต้องโต้แย้ง โดยจะต้องเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญสอบพยานเพิ่มเติม อีกทั้งคดีนี้ไม่เหมือนกรณีการล้มล้างการปกครอง เพราะเป็นกฎหมายคนละฉบับ และคนละมาตรา ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นไปตาม ม.49 แต่รอบนี้เป็นคำร้องอีกแบบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ม.92 ดังนั้นรายละเอียดคำร้องจะไม่เหมือนกัน 

ส่วนกรณีที่มองว่า พรรคก้าวไกลนั้นยิ่งยุบยิ่งโต ชัยธวัช กล่าวว่า การเติบโตของพรรคก้าวไกลไม่ได้ขึ้นอยู่กับการยุบ หรือไม่ยุบ แต่ขึ้นอยู่กับแนวทางการทำงาน และนโยบายที่จะสามารถตอบโจทย์กับพี่น้องประชาชนได้หรือไม่ ไม่มีใครหวังให้ถูกยุบพรรคเพื่อให้พรรคเติบโตขึ้น เรายังเชื่อมั่นว่า ถ้าพรรคสามารถฝ่าฟันอุปสรรคตรงนี้ได้ยิ่งเติบโต และเข้มแข็ง 

ด้านพิธากล่าวถึงการอภิปราย ม.152 ที่ถูกมองว่า อาจเป็นการอภิปรายครั้งสุดท้ายว่า มันเป็นการทำงานที่อยู่กับปัจจุบัน และเป็นความเสียดายศรัทธาประชาชนที่รัฐบาลสามารถทำอะไรได้เยอะมากใน 7 เดือนที่ผ่านมา โดยมีทั้งการสรุป สะสางข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และมีข้อเสนอแนะถึงเวลาให้ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เอาคนไม่มีประสิทธิภาพออก และนำคนมีประสิทธิภาพเข้า ให้สมรรถภาพของรัฐบาลตามความท้าทายของประเทศได้ทัน อาทิ ไฟป่า ฝุ่น PM 2.5 หรือเศรษฐกิจที่เติบโตช้าในอาเซียน ฯลฯ 

พิธากล่าวอีกว่า ในการอภิปราย ม.152 มีทั้งสิ่งที่เห็นด้วยตามเนื้อผ้า แต่เราก็ทำงานของเรา และสู้คดีเต็มที่ ซึ่งเราต้องขอใช้สิทธิในการขอขยายการไต่สวน เพราะคดีรอบนี้โทษหนักกว่าคราวที่แล้ว มันถึงกระทั่งยุบพรรค ประหารชีวิตทางการเมือง มันควรให้สิทธิ์การต่อสู้อย่างเต็มที่ เพื่อจะได้หมดข้อครหา 

ส่วนกรณีการเซาะกร่อนบ่อนทำลายที่ดูเหมือนจุดเริ่มต้นของการยุบพรรคนั้น พิธา มองว่า กฎหมายมีหลายมาตรา จึงต้องดูสัดส่วนทางกฎหมาย และดูว่า กฎหมายนั้นมีเจตนารมณ์อย่างไร ถ้ากฎหมายมีไว้เพื่อป้องกันก็อีกส่วน ดังนั้นหากเป็นการประหัดประหารทางการเมืองทำลายพรรคฝ่ายค้านที่มากที่สุดก็จะกระทบระบบประชาธิปไตยทั้งหมด จึงต้องใช้ดุลยพินิจคนละแบบกับคราวที่แล้ว 

“ส่วนของเราไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว และเกรงกลัวอะไร คำตอบที่ดีที่สุดเพื่อให้เกิดความมั่นใจแก่พี่น้องประชาชน และสมาชิกพรรคคือ การทำงาน ถ้ารู้สึก จิตใจกังวลคงทำงานได้ไม่เหมือนการอภิปราย ม.152 เพราะเราชกสุดหมัดทั้งหมด” พิธา กล่าว 

พิธากล่าวอีกว่า ณ ตอนนี้พรรคการเมืองทุกพรรคไม่มีใครเห็นด้วยกับการยุบพรรคทั้งนั้น โดยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นการยุบพรรครอบที่ 4-5 ซึ่งน่าตั้งคำถามว่า สมเหตุสมผลหรือไม่ที่ประสิทธิภาพการเมืองไทยเป็นแบบนี้ เลือกตั้งมาก็ยุบ มันไม่ใช่เรื่องของพรรคก้าวไกลพรรคเดียว แต่เป็นเรื่องของระบบประชาธิปไตยที่นักการเมืองทุกคนอยู่ในระบบแบบนั้น 

พิธากล่าวย้ำว่า เรากลับมาสู้กันในระบบดีกว่า เพราะทุกการกระทำมีผลลัพธ์ของการกระทำ ตนก็ยังไม่รู้ว่า คนที่มีอำนาจจะยุบพรรค ถามตัวเองหรือยังว่า ยุบแล้วได้อะไรขึ้นมา ในระยะสั้นนั้นอาจทำให้พวกตนอ่อนแอลง แต่อย่าลืมว่ามันคือการติดเทอร์โบให้กับพวกตนเหมือนกัน ซึ่งจะทำให้ได้แต้มต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า 

ด้านชัยธวัชกล่าวเสริมถึงคดีการยุบพรรคอีกว่า ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่มีข้อไหนที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง ต่างจากรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้บางฉบับ ซึ่งสิ่งนี้จึงเป็นจุดสำคัญเมื่อรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดอำนาจการยุบพรรคแต่กลับกำหนดอยู่ในกฎหมายลำดับรองอย่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการมีคำสั่งให้ยุติการกระทำที่เห็นว่าเป็นการล้มล้างการปกครองเท่านั้น 

ทั้งนี้ ชัยธวัช ยังยืนยันอีกว่า ตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคอนาคตไกล แม้จะมีชื่อคล้ายพรรคอนาคตใหม่ เพียงแต่พรรคดังกล่าวนั้นมีการใช้สีส้ม เพราะอาจมองว่า สีส้มเป็นสีที่นิยมอยู่ในขณะนี้ 

นอกจากนี้หัวหน้าพรรคก้าวไกลยังให้ความเห็นกรณีที่การประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยมีการเปิดวิดีโอที่ทักษิณ ชินวัตร ระบุความเหมาะสมของแพทองธารในการเป็นผู้นำเพราะมี DNA ของตนว่า การที่แพทองธารจะเป็นผู้นำพรรค หรือเป็นผู้นำประเทศในอนาคตแล้วประสบความสำเร็จนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของแพทองธารเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพ่อเป็นใคร หรือแม่เป็นใคร