กลุ่มสมัชชาคนจน พยายามฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้ายื่นข้อเรียกร้องและปัญหาของกลุ่มให้ถึงมือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่โรงเรียนราษีไศล ซึ่งเป็นสถานที่จอดเฮลิคอปเตอร์ของนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พบ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้เปลี่ยนจุดจอดเฮลิคอปเตอร์ ไปเป็นที่โรงเรียนหวายคำวิทยาแทน
อย่างไรก็ตาม ภายหลังไม่ได้ยื่นหนังสือ ตัวแทนกลุ่มสมัชชาคนจนจึงได้อ่านแถลงการณ์เรื่อง "เมื่อไม่ทำตามข้อตกลง เราจึงต้องมาทวงสัญญา" ว่าจากการชุมนุมของสมัชชาคนจนเมื่อวันที่ 6-23 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมานั้น ได้มีการเจรจาและบรรลุข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลและสมัชชาคนจน ดังนี้
1) รัฐบาลได้รับทราบข้อร้องเรียนและข้อเสนอเชิงนโยบายของสมัชชาคนจน ซึ่งได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาในทันที และจะขับเคลื่อนผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องต่อไป
2) รัฐบาลร่วมกับสมัชชาคนจนได้จัดทำบันทึกข้อตกลงซึ่งมีกรอบเวลาร่วมกันในการดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนและข้อเสนอเชิงนโยบาย ซึ่งจะได้นำผลการจัดทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวนำเรียนที่ประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป โดยในกรณีปัญหาฝายหัวนาและเขื่อนราษีไศล ได้มีข้อตกลงร่วมกันว่าจะกำหนดวันประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาฝายหัวนาและเขื่อนราษีไศลในวันเดียวกัน ภายในเดือน ต.ค. 2562
3) สำหรับข้อเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของสมัชชาคนจนตามร่างคำสั่งที่สมัชชาคนจนเสนอไว้ จะได้เร่งดำเนินการนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
4) สำหรับเรื่องที่สมัชชาคนจนมีความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง คือ การผ่อนผันให้ทำกินในที่ดินเดิมของสมัชชาคนจนนั้น ในเรื่องนี้ได้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสมัชชาคนจนและรัฐบาล ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เห็นชอบแล้ว เพื่อแนบกับบันทึกข้อตกลง และนำเรียนที่ประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป
เมื่อบรรลุข้อตกลงดังกล่าวจึงได้ประกาศยุติการชุมนุม เพื่อแสดงความจริงใจต่อรัฐบาลในวันที่เดินทางกลับบ้าน ซึ่งสมัชชาคนจนเชื่อมั่น ไว้ใจ และมีความหวังอย่างยิ่งว่าข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับสมัชชาคนจนจะได้รับการดำเนินการตามที่ผู้แทนรัฐบาลรับปากไว้ แต่ถึงตอนนี้กลับกลายเป็นว่ารัฐบาลยังไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ พวกเราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมาทวงถามสัญญากับนายกรัฐมนตรี