พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รองเลขาธิการ กสทช.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้มีการใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในการจัดชุด (Package) กล่าวว่า วันนี้ (8 มิ.ย.) สำนักงาน กสทช. ได้จัดประชุมเฉพาะกลุ่ม (Focus Group) ต่อ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package) โดยเชิญหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียมมาทำความเข้าใจและรับฟังความเห็น โดยมีเป้าหมายที่จะให้เกิดการคัดเลือกผู้ได้รับอนุญาตใช้สิทธิวงโคจรดาวเทียมอย่างเสรีและเป็นธรรมครั้งแรกของประเทศไทยในปลายปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560
หลังจากที่ กสทช.ได้อนุมัติ แผนการบริหารสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม และ หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2563 แล้ว สำนักงาน กสทช.จึงได้นำสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมหรือที่เรียกว่า เอกสารข่ายงานดาวเทียม (Satellite Network Filing) ทั้งหมดที่ประเทศไทยมีอยู่อันเป็นสมบัติของชาติตามที่แผนบริหารสิทธิฯ กำหนด มาจัดเป็นชุด (Package) ตามวงโคจร (Slot) ทั้งหมด 4 ชุด เพื่อนำมาจัดสรร
โดยสำนักงานฯ ได้เสนอแนวทางในการคัดเลือก โดยใช้วิธีการประมูล (Auction) หรือวิธีคัดเลือก (Beauty Contest) หรือวิธีอื่นใด เนื่องจากการจัดสรรสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมกฎหมายไม่ได้บังคับไว้ว่าจะต้องดำเนินการด้วยการประมูลเพียงวิธีเดียว นอกจากนั้นสำนักงานฯ ยังได้นำเสนอแนวทางในการประเมินมูลค่าและการคิดค่าธรรมเนียมของแต่ละชุด ตลอดจนเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติมที่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกผู้ชนะในแต่ละชุด ให้สามารถสร้างดาวเทียมไทยตามข่ายงานที่กำหนดได้
พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า การนำสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมมาประมูลตามที่สำนักงาน กสทช. เสนอถ้าเปรียบกับการประมูลคลื่นความถี่ ก็เปรียบเสมือนการประมูลแบบ Multiband หรือการประมูลแบบหลายคลื่นความถี่พร้อมกัน โดยตามแผนที่วางไว้สำนักงานฯ ตั้งเป้าที่จะจัดการประมูลสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมภายในปลายปีนี้
สำหรับสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมที่นำมาจัดสรร สำนักงานฯ จัดแบ่งโดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ โดยเบื้องต้นจัดแบ่งเป็น 4 ชุด (หรือ 4 Package) ดังนี้
ชุดที่ 1 ประกอบด้วย วงโคจร 50.5E (ข่ายงาน C1 และ N1) และ วงโคจร 51E (ข่ายงาน 51)
ชุดที่ 2 ประกอบด้วย วงโคจร 78.5E (ข่ายงาน A2B และ LSX2R)
ชุดที่ 3 ประกอบด้วย วงโคจร 119.5E (ข่ายงาน IP1, P3 และ LSX3R) และ วงโคจร 120E (ข่ายงาน G2K และ 120E)
ชุดที่ 4 ประกอบด้วย วงโคจร 126E (ข่ายงาน 126E) และ วงโคจร 142E (ข่ายงาน G3K และ N5)
ทั้งนี้ ข่ายงาน หรือ Network Filing ทั้งหมดเป็นข่ายงานที่ไม่อยู่ภายใต้สัญญาสัมปทาน ยกเว้น A2B ซึ่งอยู่ภายใต้ดาวเทียมไทยคม 5 ซึ่งหมดอายุก่อนหมดสัญญาสัมปทานในวันที่ 11 ก.ย. 2564 และ IP1 ของ ไทยคม 4 ซึ่งจะมีอายุทางวิศวกรรมถึงปีพ.ศ. 2566 ที่ถือว่าเป็นการจัดสรรล่วงหน้าในลักษณะหลายชุดพร้อมกัน เนื่องจากการสร้างดาวเทียมต้องวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 ปี
รองเลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า สำหรับความคิดเห็นต่างๆ ที่สำนักงาน กสทช. ได้รับฟังมากล่าวโดยสรุป ผู้ประกอบการรายเดิมยังมีความกังวลกับข่ายงานที่มีความใกล้เคียงหรือทับซ้อนกับข่ายงานที่อยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานหรือที่ดาวเทียมไทยคมใช้งานอยู่ แม้ว่าจะไม่นำมาจัดสรรในครั้งนี้ รวมทั้งเสนอให้แยกชุดแต่ละชุดตามวงโคจรเลย สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่เห็นด้วยกับแนวทางการจัดชุด ยกเว้นชุดที่ 4 ที่อาจจะแยกเป็น 2 ชุดได้ เนื่องจากมีวงโคจรที่ห่างกัน แต่มีข้อกังวลเกี่ยวกับการประสานงานและการใช้คลื่นความถี่ที่ไปทับซ้อนกับดาวเทียมไทยคมอาจทำให้ไม่สามารถใช้งานได้จริง แต่ทั้งผู้ประกอบการรายเก่าและรายใหม่ไม่เห็นด้วยกับการคัดเลือกโดยวิธีประมูล ควรจะใช้วิธีอื่นจะทำให้กิจการดาวเทียมไทยสามารถแข่งขันกับนานาชาติได้
"ผมเชื่อว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับกิจการดาวเทียมไทยที่จะเปลี่ยนจากระบบสัมปทานมาสู่ระบบใบอนุญาตอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นการแก้ไขปัญหาการเกิดสุญญากาศของดาวเทียมไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 หลังดาวเทียมไทยคม 8 ที่ทั้งผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ไม่สามารถสร้างและนำดาวเทียมไทยขึ้นสู่วงโคจรได้ ซึ่งท่านประธาน กสทช. มีความประสงค์จะให้ประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตนี้แล้วเสร็จโดยเร็วตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปีนี้ จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าต่อยอดกิจการดาวเทียมไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไปได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม" พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ กล่าว