ในการให้สัมภาษณ์กับกลุ่มหนังสือพิมพ์ยุโรปที่รายงานโดย BBC ทัสก์กล่าวว่า “ผมไม่ต้องการทำให้ใครกลัว แต่สงครามไม่ใช่แนวคิดจากอดีตอีกต่อไป มันเป็นเรื่องจริงและมันเริ่มต้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว”
ทั้งนี้ ความเห็นของทัสก์มีขึ้นไม่กี่วัน หลังจากเกิดเหตุขีปนาวุธรัสเซียล่อนทะลุผ่านน่านฟ้าของโปแลนด์ ระหว่างการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานครั้งใหญ่ที่รัสเซียเปิดฉากใส่ยูเครน ส่งผลให้ทางการโปแลนด์ต้องเตรียมกองกำลังของตัวเองให้มีความพร้อมมากขึ้น
ทัสก์พยายามโน้มน้าวให้ชาติยุโรปหันมาพูดคุยถึงประเด็นงบประมาณด้านการป้องกันและการมอบความช่วยเหลือแก่ยูเครนที่มากขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมกลาโหมในชาติยุโรปเอง โดยนายกรัฐมนตรีโปแลนด์กล่าวว่า ไม่ว่าผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในปีนี้จะเป็นอย่างไร ยุโรปจะกลายเป็นพันธมิตรที่น่าดึงดูดใจมากขึ้นสำหรับสหรัฐฯ หากยุโรปสามารถพึ่งพาตนเองทางการทหารได้มากขึ้น
ทัสก์ยังเรียกร้องให้ทุกชาติส่งความช่วยเหลือแก่ยูเครนอย่างเร่งด่วน โดยเขากล่าวว่าสงครามอีก 2 ปีข้างหน้าจะตัดสินทุกสิ่ง และ “เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาวิกฤติที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง” โดยสิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ “ทุกสถานการณ์ก็เป็นไปได้” ทัสก์กล่าว “ผมรู้ว่ามันฟังดูเลวร้ายโดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ แต่เราต้องทำความคุ้นเคยกับการมาถึงของยุคใหม่ทางจิตใจ ยุคก่อนสงคราม” นายกรัฐมนตรีโปแลนด์กล่าวเสริม
ทัสก์ยังกล่าวเสริมอีกว่า การที่ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ออกมากล่าวโทษยูเครนว่าเกี่ยวข้องกับการโจมตีศาลาว่าการโครคัสในกรุงมอสโกนั้น เป็นการกล่าวโจมตีโดยไม่มีหลักฐานใดๆ และ “เห็นได้ชัดว่า (ปูติน) รู้สึกว่า (เขา) จำเป็นต้องหาเหตุผลมาสร้างเหตุโจมตีอย่างรุนแรงต่อเป้าหมายพลเรือนในยูเครน”
ทัสก์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีโปแลนด์ระหว่างปี 2550 ถึง 2557 และกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา เป็นนักการเมืองผู้มีประสบการณ์ โดยก่อนหน้านี้ เขาเคยดำรงตำแหน่งประธานสภายุโรป และผู้นำพรรคประชาชนยุโรปที่มีอุดมการณ์กลางขวา ทั้งนี้ เขายังเป็นผู้ที่พยายามปรับปรุงจุดยืนของโปแลนด์ในสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ
ทัสก์ระบุบนโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานมานี้ว่า “ยุคหลังสงครามได้ผ่านพ้นไปแล้ว เรากำลังอยู่ในยุคใหม่ ในยุคก่อนสงคราม นี่คือเหตุผลว่าทำไม NATO และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างยุโรปและอเมริกาจึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมา”
ในการแสดงความคิดเห็นของนายกรัฐมนตรีโปแลนด์ในสัปดาห์นี้ ทัสก์เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างโปแลนด์ เยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่เรียกว่าสามเหลี่ยมไวมาร์ แม้ว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจะมีความตึงเครียดระหว่างโปแลนด์และยูเครน เกี่ยวกับการนำเข้าอาหารของยูเครนก็ตาม แต่ทัสก์พยายามพยายามแก้ไขความเห็นต่างระหว่างทั้งสองชาติให้เกิดความราบรื่นมากยิ่งขึ้น
“แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดก็มีผลประโยชน์และมุมมองที่ขัดแย้งกันในบางครั้ง” ทัสก์กล่าวในการแถลงข่าวในสัปดาห์นี้ร่วมกับผู้นำยูเครน อย่างไรก็ดี การหารือได้สิ้นสุดลง “ด้วยความเชื่อมั่นที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกว่า ไม่มีกองกำลังใดในโลก ทั้งในยูเครนและโปแลนด์ ที่จะบ่อนทำลายมิตรภาพของพวกเขาได้” ทัสก์กล่าว
ที่มา: