ระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย มอร์ริสันต้องรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ในออสเตรเลีย การทำสนธิสัญญาป้องกัน Aukus และการเข้าไปพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวครั้งประวัติศาสตร์ จากการแอบแต่งตั้งตัวเองให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายตำแหน่งในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
“ถึงเวลาแล้วที่ผมจะกลับไปใช้ชีวิตส่วนตัว” มอร์ริสัน ซึ่งมีอายุ 55 ปี กล่าวเมื่อวันอังคาร (23 ม.ค.) “หลังจากดำรงตำแหน่งในรัฐสภามานานกว่า 16 ปี รวมถึงเกือบ 4 ปีในฐานะนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่งของประเทศของเรา ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องเดินหน้าต่อไป” อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าวเสริมในแถลงการณ์
มอร์ริสันกล่าวว่าขณะนี้เขาจะเข้ารับตำแหน่งที่มี "บทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์" ทั่วเอเชีย เพื่อมุ่งเน้นไปที่ประเด็นด้านความปลอดภัยในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก สำหรับชีวิตส่วนตัวในด้านศาสนาคริสต์ มอร์ริสันกล่าวว่าเขา "ตั้งตารอที่จะมีความกระตือรือร้นมากขึ้น" ในการเข้าโบสถ์และใช้เวลาอยู่กับครอบครัว
มีการคาดเดามาอย่างยาวนานว่ามอร์ริสันจะวางมือทางการเมือง ภายหลังการพ่ายแพ้การเลือกตั้งในปี 2565 ให้กับ แอนโธนี อัลบานีส ผู้นำพรรคแรงงาน และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของออสเตรเลีย ซึ่งในระหว่างนั้นพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมของมอร์ริสันเสียที่นั่งในรัฐสภาไปกว่า 18 ที่นั่ง
นโยบายที่คัดแย้งกับการสภาพภูมิอากาศของรัฐบาลมอร์ริสัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลของเขาล่มสลาย หลังจากที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในออสเตรเลียลงคะแนนเสียงของตัวเอง ให้แก่ผู้สมัครที่มุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีความทะเยอทะยานมากขึ้น
ต่อมาในปี 2565 มอร์ริสันกลายมาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาออสเตรเลียลงมติไม่ไว้วางใจ จากกรณีการใช้อำนาจลับที่เขามอบให้ตัวเอง ระหว่างการแพร่ระบาดโควิด-19 ทั้งนี้ มอร์ริสันกล่าวว่า การตัดสินใจแต่งตั้งตัวเองเป็นรัฐมนตรีร่วมด้านสาธารณสุข การเงิน การคลัง และมหาดไทย สอดคล้องกับ “ช่วงเวลาพิเศษ” ที่ออสเตรเลียกำลังเผชิญในขณะนั้น โดยจากการสอบสวนพบว่าการแต่งตั้งตัวเองของมอร์ริสันถูกกฎหมาย และเขาใช้อำนาจพิเศษเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่มอร์ริสันดำรงตำแหน่ง เขามีความสัมพันธ์ที่แข็งกร้าวอย่างยิ่งกับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย โดยรัฐบาลออสเตรเลียของมอร์ริสันเป็นผู้นำการเรียกร้องให้มีการสอบสวนระหว่างประเทศเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้เกิดข้อพิพาททางการค้ากับจีนแบบตาต่อตา และวิกฤตทางการทูตที่ยืดเยื้อยาวนานหลายปี
มอร์ริสันมุ่งเน้นการขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ ไปที่การสนับสนุนพันธมิตรด้านความมั่นคงของออสเตรเลียแทน ผ่านการจัดตั้งความร่วมมือ Quad กับอินเดีย ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ และการลงนามข้อตกลงเรือดำน้ำนิวเคลียร์ Aukus กับสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ
มอร์ริสันได้รับความสนใจระดับชาติเป็นครั้งแรกในปี 2556 เมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงตรวจคนเข้าเมือง และดูแลกิจการปฏิบัติการรักษาอธิปไตยพรมแดน ซึ่งทำให้นโยบายผู้ขอลี้ภัยของออสเตรเลียแข็งกระด้างยิ่งขึ้น จากนั้นมอร์ริสันขึ้นมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงประชาสงเคราะห์ และกระทรวงธนารักษ์
ในเวลาต่อมา มอร์ริสันรับตำแหน่งต่อจาก มัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ ในตำแหน่งผู้นำและนายกรัฐมนตรีจากพรรคเสรีนิยม ก่อนที่มอร์ริสันจะชนะการเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐปี 2562 ทั้งนี้ เขากลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของออสเตรเลีย ที่ดำรงตำแหน่งเต็มวาระนับตั้งแต่ จอห์น ฮาวเวิร์ด ในปี 2550
ที่มา: