31 ต.ค. 2562 กลุ่มติดอาวุธไอเอสเผยแพร่แถลงการณ์ยืนยันการเสียชีวิตของ 'อาบู บัคร์ อัล-แบกห์ดาดี' ผู้นำสูงสุดของกลุ่ม ที่สถาปนาตนเองเป็น 'คอลิฟะห์' แห่งรัฐอิสลาม โดยกลุ่มไอเอสระบุว่า การต่อสู้กับผู้รุกราน ซึ่งหมายถึงกองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตร จะยังเดินหน้าต่อไป พร้อมทั้งประกาศว่าจะล้างแค้นให้กับผู้นำที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างแน่นอน
ไอเอสประกาศด้วยว่า ผู้นำคนใหม่ของกลุ่ม คือ 'อาบู อิบรอฮิม อัล-ฮาเชมี อัล-คูเรชี' ซึ่งนักวิจัยต่อต้านการก่อการร้ายในสหรัฐฯ ระบุว่า ชื่อดังกล่าวอาจจะไม่คุ้นหู แต่คิดว่าผู้นำคนใหม่น่าจะเป็น 1 ใน 3 แกนนำระดับสูงของไอเอสซึ่งเป็นคนสนิทของอัล-แบกห์ดาดี แต่อาจจะเปลี่ยนชื่อเพื่อรับตำแหน่งใหม่ และหน่วยความมั่นคงของสหรัฐฯ น่าจะมีข้อมูลอยู่แล้ว โดยคนสนิททั้งสามคนเป็นชาวซาอุดีอาระเบีย, ชาวอิรัก และชาวตูนีเซีย
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงเตือนว่า สิ่งที่น่ากังวลต่อจากนี้คือการตอบโต้เพื่อล้างแค้นของกลุ่มไอเอสในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก อาจยกระดับความรุนแรงและความถี่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2019 แต่วิธีการโจมตีจะเปลี่ยนจากการสู้รบทางทหารเป็นการซุ่มโจมตีและลอบวางระเบิดแทน ซึ่งเป็นวิธีการที่กลุ่มไอเอสใช้บ่อยในช่วงแรกๆ ที่เริ่มก่อตั้งและสร้างแนวร่วม
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานด้วยว่า หลังจากมีข่าวว่าสังหารผู้นำกลุ่มไอเอสได้สำเร็จ ก็มีการก่อเหตุโจมตีหลายจุดอย่างต่อเนื่องในอิรัก ซีเรีย และอัฟกานิสถาน ทำให้มีผู้เกรงว่าการถอนทหารอเมริกันออกจากซีเรียตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศไว้ อาจจะยิ่งทำให้การก่อเหตุของกลุ่มไอเอสหนักข้อยิ่งกว่าเดิม
นอกจากนี้ยังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ด้วยว่า การเผยแพร่วิดีโอปฏิบัติการสังหารผู้นำไอเอสสู่สาธารณะ อาจกระทบต่อการจู่โจมของเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษในอนาคต เพราะเป็นการเปิดเผยข้อมูลทางทหารที่สำคัญ แต่ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ และหน่วยงานด้านความมั่นคงยืนยันว่า วิดีโอที่เผยแพร่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ และจะไม่กระทบต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่อย่างแน่นอน
ทางการสหรัฐฯ ยังอธิบายถึงสาเหตุที่ต้องระเบิดสถานที่สังหารผู้นำไอเอสทิ้งไปด้วยว่า เพื่อป้องกันไม่ให้สถานที่ดังกล่าวถูกใช้เป็นที่รำลึกถึงผู้พลีชีพ ซึ่งอาจจะกลายเป็นสัญลักษณ์ในการปลุกระดมหาแนวร่วมของกลุ่มก่อการร้ายต่อไปในอนาคต และร่างของอัล-แบกห์ดาดีก็ถูกนำไปทิ้งในทะเลด้วยเหตุผลเดียวกัน ทั้งยังเชื่อมั่นว่ามาตรการป้องกันและต่อสู้กลุ่มก่อการร้ายของสหรัฐฯ จะยังเดินหน้าต่อไปด้วย