นายแพทย์ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช กล่าวว่า ในยุคปัจจุบัน คนรุ่นใหม่มีความรู้ที่ลึกซึ้ง และความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปิดพื้นที่ และดึงคนรุ่นใหม่ เข้ามาร่วมถกเถียงประเด็นปัญหาสังคม และร่วมกันหาทางพัฒนาประเทศ เช่นใน 3 ประเด็นเร่งด่วนในความคิดของตน ได้แก่

1.การศึกษา ซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ หรือ การทำสมาร์ท ฟาร์มเมอร์ แต่การศึกษาของประเทศไทยกลับอยู่ในระดับรั้งท้ายของภูมิภาค ทั้งที่ใช้งบประมาณไปกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี มากกว่างบประมาณอื่นๆอีกหลายด้านถ้าเทียบกับระดับ GDP จึงชวนให้ตั้งคำถามว่างบประมาณเหล่านี้ ตกหล่นระหว่างทางตรงไหน ทำให้ลูกหลานของเราไม่ได้รับการศึกษาที่ดีตามสมควร ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงไม่ใช่เพียงการปรับหลักสูตร หรือปรับโครงสร้างการบริหารกระทรวงศึกษาธิการ ที่ทำกันมากว่า 20 ปีแล้ว แต่ไม่เห็นผล อย่างไรก็ตาม ควรปฏิรูปให้ผู้ปกครองมีส่วนเข้าไปกำหนดอนาคตของลูก โดยการเป็นคณะกรรมการโรงเรียน มีสิทธิ์เลือกอาหารกลางวัน อนุมัติงบประมาณ หรือแม้กระทั่งเลือก ผู้อำนวยการโรงเรียน

ส่วนกรณีการบริการกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ควรเพิ่มเวลาพักชำระหนี้จาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพราะเโ้กจบใหม่บางคนยังไม่สามารถหางานได้ หรือยังไม่มีเงินจ่ายหนี้ภายใน 2 ปี หรืออาจจะมีนโยบายให้เรียนฟรีถึงปริญญาตรี เหมือนกับหลายประเทศ เช่น เยอรมัน หรือประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย

2.หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และปัญหาอื่นๆที่ตามมา รัฐบาลจะต้องพัฒนาไปให้ไกลกว่าหลักประกันสุขภาพที่ทั่วถึง โดยการทำให้คุณภาพในการรักษาดีขึ้น หมอไม่ทำงานหนักหรือน้อยเกินไป มีบุคลากรทางการแพทย์ และอุปกรณ์ที่เพียงพอ ไม่ต้องรบกวนนักร้อง หรือพระภิกษุ ให้รวบรวมเงินมาซื้อเครื่องมือแพทย์ทั้งที่มีงบประมาณ นอกจากนี้รัฐบาลควรลงทุนครั้งใหญ่พัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลทั้งระบบ เพิ่มแพทย์ให้กระจายตัวในปริมาณที่เพียงพอ มีเทคโนโลยีในการส่งต่อผู้ป่วย การรักษาพยาบาล และการแพทย์ทางไกล รวมทั้งการป้องกันโรคให้ผู้สูงอายุ และมีความรู้ทางสุขภาพ ไม่ต้องเป็นมะเร็งหัวใจหรือความดันในตอนแก่

3.การคอร์รัปชั่น ยังคงต้องมีการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกต่อไป แต่ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมกันควบคู่ไปด้วย เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และใช้เทคโนโลยีมาทำ open data เปิดเผยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับความมั่นคง ให้มีการตรวจสอบการใช้งบประมาณ หรือการประมูล จากสังคมได้ง่ายขึ้น

"ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา สาธารณสุข แก้ไม่ยากทั้งหมด อยู่ที่ความตั้งใจเท่านั้น ถ้าหากมีนโยบายที่เข้มแข็ง มีภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง มีความมุ่งมั่น ทุบโต๊ะเลย แก้ปัญหาได้ทั้งสิ้น"

ส่วนนโยบายเก่าๆที่ตนเคยทำในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ถ้านำกลับมาใช้แบบเดิมจะได้ผลไม่เท่าเดิม เพราะคนเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน ต้องอาศัยเทคโนโลยีช่วยทุ่นแรง และลดต้นทุน พัฒนาวิธีการ แต่รักษาเป้าหมายสุดท้ายเอาไว้ แต่ถ้าหยุดนิ่งไม่พัฒนา คือ ถอยหลังเข้าคลอง เช่น กองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น

นายสุรพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า ตามรัฐธรรมนูญ ตอนนี้ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไม่ว่าจะเป็น การเป็นสมาชิกพรรคการเมือง, ลงสมัครรับเลือกตั้ง, หรือรับตำแหน่งทางการเมือง สิ่งที่ทำได้อย่างเดียว คือ การไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งตนมองว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะได้ถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาพัฒนาประเทศ

อีกทั้งตนยังมองว่า คนอายุมาก ไม่สามารถเรียนรู้เทคโนโลยีที่ทันสมัยได้ทัน และไม่มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์พร้อมทำงานหนักได้เท่าคนรุ่นใหม่ ดังนั้นประเทศชาติจึงต้องการกำลังจากคนรุ่นใหม่มาทำงานพัฒนาประเทศ เพื่อก้าวทันเทคโนโลยี และมองไปสู่อนาคต แต่คนรุ่นเก่าตั้งไม่ตั้งกำแพงปิดกั้น ไม่เช่นนั้น เราจะไม่สามารถพัฒนาประเทศได้

"เรามีคนรุ่นใหม่ที่เก่งเรื่องเทคโนโลยี เรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องกฎหมาย เรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องสังคมศาสตร์มากมาย แล้วลึกซึ้งกว่าที่คนรุ่นผมเคยเรียนรู้ด้วยซ้ำไป ทำไมคนพวกนั้นถึงถูกทำให้อยู่นอกการเมือง ถูกกั้นเอาไว้ไม่ให้พวกเขาเข้ามาล่ะครับ? ให้เขาเข้ามาเถอะ การเมืองต้องการคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพอีกมากมาย ถ้าเรายิ่งสร้างกำแพงขวางกั้นเอาไว้ สร้างความหวาดกลัวว่าคนรุ่นใหม่ ถ้าเข้ามาเดี๋ยวเจ็บตัวนะ มันจะทำให้ประเทศไทยเราเสียโอกาส และจะไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้อีกเลย"

ติดตามชมรายการ 'สุมหัวคิด' ได้ทางช่อง 'วอยซ์ ทีวี 21' ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 20.45-21.15 น. เริ่มออกอากาศวันพุธที่ 1 สิงหาคมนี้ เป็นตอนแรก